การรักษาด้วยสเตียรอยด์ : คุณประโยชน์ VS ผลข้างเคียง
จากการเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับวันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2556 เรื่อง ปวดหลัง : ทางเลือก รักษาได้ไม่ผ่าตัด
พบว่ามีท่านผู้อ่านได้ติดต่อสอบถามเข้ามาเป็นจำนวนมาก
จึงได้รวบรวมคำถามที่มากมายที่น่าสนใจ
และเป็นคำถามที่คนส่วนใหญ่มักจะเกิดข้อสงสัยในการใช้ยาสเตียรอยด์ในการรักษา
อาการปวดหลัง จึงนำประเด็นต่างๆมาตอบข้อสงสัยเหล่านี้ครับ
ฉีดยาสเตียรอยด์แล้ว มีผลนานเท่าไหร่ ฉีดได้บ่อยเท่าไร่ ฉีดยาสเตียรอยด์มีปัญหา หรือภาวะแทรกซ้อนอย่างไรบ้าง อันตรายหรือไม่
การ
ใช้ยาสเตียรอยด์ในการรักษาอาการปวดหลัง หรืออาการปวดหลังร้าวลงขานั้น
สิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาพยาบาลนั้นคือการวินิจฉัยโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่
อย่างถูกต้องแม่นยำก่อน จึงนำมาสู่การรักษาพยาบาลที่ถูกต้อง
การรักษาด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์นั้นได้ผลดีมากในการลดอาการปวดในระยะประมาณ
1-3
เดือนในผู้ป่วยที่เป็นหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมและมีการกดทับเส้นประสาท
นอกจากนี้
การตอบสนองต่อการรักษาด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าโพรงประสาทนั้นขึ้นอยู่กับ
1. ระดับความรุนแรงของการกดทับเส้นประสาทจากภาวะเสื่อมของหมอนรองกระดูกสันหลัง
2.
ลักษณะการทำงานของผู้ป่วย และพฤติกรรมของผู้ป่วย
ถ้าผู้ป่วยยังคงกลับไปทำงาน ยกของหนัก และนั่งกับพื้น ซักผ้า ปลูกต้นไม้
หรือยกของไม่ถูกวิธี ก็จะทำให้อาการปวดหลังไม่สามารถหายได้
อาการอาจจะดีขึ้นเฉพาะในช่วงที่ฉีดยา หรือรับประทานยาเท่านั้น
มีผู้ป่วยจำนวนมากก็จะบอกว่า "ห้ามทำไปหมดทุกอย่างเลยเหรอ"
อันที่จริงแล้วร่างกายของเราเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น
ก็เกิดการเสื่อมไปตามกาลเวลา บางครั้งเราเคยก้มยกของหนัก ทำงานหนัก
นั่งกับพื้นได้ในวัยเด็ก และวัยรุ่นก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย
แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น
เรายังทำพฤติกรรมแบบเดิมมักจะมีอาการปวดหลังก็เนื่องมากจาก
กระบวนการเสื่อมของร่างกาย การยืดหยุ่น รองรับน้ำหนักของหมอนรองกระดูกลดลง
กระดูกอ่อนที่บริเวณกระดูกข้อต่อมีการสึกหรอทำให้เกิดการเสียดสีของกระดูก
เพิ่มมากขึ้น เกิดการอักเสบของกระดูกข้อต่อได้ง่ายขึ้น
ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเส้นประสาท
จึงส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดหลังร่วมกับอาการชาร้าวลงขาด้วย
และชาบริเวณหลังเท้าและส้นเท้า เปรียบเสมือนกับอายุ 60 ปี
เราก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปที่อายุ 30 ปีได้
เฉกเช่นเดียวกับร่างกายของคนเรา เมื่อเกิดการเสื่อมของกระดูกและข้อ
ก็ไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปให้แข็งแรงเหมือนกับวัยหนุ่มสาวได้
แต่เราสามารถชะลอ ป้องกันได้ไม่ให้เกิดการเสื่อมไปมากกว่าเดิม
ซึ่งก็คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และปรับการทำงานของผู้ป่วยนั่นเอง
รูปภาพเปรียบเทียบการเสื่อมของหมอนรองกระดูกสันหลัง ภาพซ้ายจะเห็นหมอนรองกระดูกสันหลังมีความสูงปกติ เปรียบเทียบกับภาพขวามือที่พบว่าความสูงของหมอนรองกระดูกสันหลังลดลง ร่วมกับมีการเสื่อมของกระดูกข้อต่อ ทำให้ช่องทางเดินประสาทแคบลง ทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาท ผู้ป่วยจึงมักมีอาการปวดหลัง และปวดร้าวหรือชาร้าวลงขา โดยเฉพาะที่บริเวณน่องของขาข้างนั้น
คน
ส่วนใหญ่มักจะกังวลถึงผลเสียของการใช้ยาสเตียรอยด์ในการรักษาพยาบาล
หรือฉีดเฉพาะที่ เพราะได้ยินมานานเกี่ยวกับผลเสียของการใช้ยาสเตียรอยด์
อันที่จริงแล้วการใช้ยาทุกชนิดเปรียบเสมือนกับเหรียญที่มี 2 ด้าน
ยาทุกชนิดก็เหมือนกันที่มีทั้งคุณประโยชน์
และผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยา ขึ้นอยู่กับความรู้และความชำนาญของผู้ใช้
โดยปกติแล้ว ในทางการแพทย์ ยาสเตียรอยด์นั้นมีประโยชน์เป็นอย่างมากที่นำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยในโรคต่างๆ มากมาย
ยาสเตียรอยด์เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการลดอาการปวด
ลดอาการอักเสบได้เป็นอย่างดี
ถ้าใช้อย่างถูกต้องและไม่เกินปริมาณที่ร่างกายสามารถรับได้ก็ไม่ได้เกิดผล
ข้างเคียงตามมาอย่างที่คนกลัว
ใน
การใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดฉีดเฉพาะที่ โดยปกติมักจะฉีดไม่เกิน 3 - 5 ครั้ง
อันเนื่องมาจากว่าถ้าฉีดรักษามากกว่านี้แสดงว่า การฉีดยาอาจจะไม่ได้ผล
และโรคที่เป็นนั้นมีระดับรุนแรงมาก อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด
และอีกประการหนึ่งคือการฉีดยาเฉพาะที่
ในบางครั้งทำการฉีดเข้าไปโดยตรงที่ตำแหน่งที่ปวด
โดยไม่ทราบว่าตำแหน่งที่ฉีดนั้นถูกต้องหรือไม่ เช่น
บางครั้งอาจมีการฉีดยาเข้าไปในเส้นเอ็นหรือเส้นประสาทของผู้ป่วย
จึงมีผลทำให้เส้นเอ็นฉีกขาดได้ง่าย
ดังนั้นในปัจจุบันที่มีการนำเครื่องเสียงความถี่สูงมาช่วยในการระบุตำแหน่ง
ของการฉีดยาจะช่วยทำให้แพทย์ผู้รักษาสามารถระบุถึงตำแหน่งที่จะฉีดยาได้
แม่นยำมากขึ้น จึงลดผลข้างเคียงของการฉีดยาลงได้
และใช้ปริมาณยาชาในปริมาณที่ลดลง
โดยส่วนใหญ่ผลเสียของการใช้ยาสเตียรอยด์มักเกิดจากผู้ป่วยไปซื้อยามารับประทานเอง ซึ่งยาสเตียรอยด์นี้
มักจะผสมอยู่ในรูปของยาสมุนไพรพื้นบ้าน ยาจีน
ซึ่งมักจะระบุว่าเป็นยารักษาสารพัดโรค ส่วนใหญ่เวลารับประทานยากลุ่มนี้แล้ว
อาการปวดมักจะหายไปทันที
ผู้ป่วยจึงมักไปซื้อยามารับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจึงเกิดผล
เสียต่างๆมากมายตามมาอาทิเช่น การเกิดโรคกระดูกพรุน ต่อมหมวกไตทำงานผิดปกติ
เกิดอาการบวมตามร่างกาย
บางครั้งอาจเกิดกระดูกหัวสะโพกตายอันเนื่องมาจากการใช้ยาสเตียรอยด์มาเป็น
ระยะเวลานาน โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคพุ่มพวง (SLE)
ซึ่งบางครั้งแพทย์จำเป็นต้องใช้ยาสเตียรอยด์ในการรักษาเป็นระยะเวลานาน
เพื่อควบคุมอาการโรค
การใช้ยาสเตียรอยด์อาจจะมีผลต่อผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานอาจจะทำให้ระดับน้ำตาล
เพิ่มสูงขึ้นได้ และอาจมีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด
ซึ่งมักจะเป็นชั่วคราวประมาณ 2 สัปดาห์
นอกจากนี้การฉีดยาสเตียรอยด์อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการสะอึกได้พบไม่มาก
และมักจะเป็นประมาณ 3 วันหลังฉีดยา
สิ่งสำคัญในการรักษาและป้องกันอาการปวดหลัง
คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่จะทำให้เกิดอาการปวดหลังเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งได้แก่ การนั่งกับพื้น การก้มยกของที่ไม่ถูกวิธี การนอนคว่ำ
การนั่งเก้าอี้ต่ำๆ เช่น การนั่งซักผ้า การนั่งทำอาหาร
หรือการนั่งเก้าอี้ที่ไม่มีพนักพิง
จะทำให้น้ำหนักของร่างกายส่วนใหญ่กระทำต่อกระดูกสันหลังบริเวณเอว
ทำให้เกิดการอักเสบของกระดูกข้อต่อ มีผลทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดเพิ่มมากขึ้น
รวมทั้งวิธีการบริหารหลัง
ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ ภาควิชาออร์โทปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
tleerapun@gmail.com , www.taninnit.com , Facebook: Dr.Keng หมอเก่ง,
line ID search : keng3407
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น