การรักษาด้วยสเตียรอยด์ : คุณประโยชน์ VS ผลข้างเคียง
จากการเขียนบทความลงหนังสือพิมพ์เดลินิวส์ฉบับวันอาทิตย์ที่ 29 กันยายน 2556 เรื่อง ปวดหลัง : ทางเลือก รักษาได้ไม่ผ่าตัด
พบว่ามีท่านผู้อ่านได้ติดต่อสอบถามเข้ามาเป็นจำนวนมาก
จึงได้รวบรวมคำถามที่มากมายที่น่าสนใจ
และเป็นคำถามที่คนส่วนใหญ่มักจะเกิดข้อสงสัยในการใช้ยาสเตียรอยด์ในการรักษา
อาการปวดหลัง จึงนำประเด็นต่างๆมาตอบข้อสงสัยเหล่านี้ครับ
ฉีดยาสเตียรอยด์แล้ว มีผลนานเท่าไหร่ ฉีดได้บ่อยเท่าไร่ ฉีดยาสเตียรอยด์มีปัญหา หรือภาวะแทรกซ้อนอย่างไรบ้าง อันตรายหรือไม่
การ
ใช้ยาสเตียรอยด์ในการรักษาอาการปวดหลัง หรืออาการปวดหลังร้าวลงขานั้น
สิ่งสำคัญที่สุดในการรักษาพยาบาลนั้นคือการวินิจฉัยโรคที่ผู้ป่วยเป็นอยู่
อย่างถูกต้องแม่นยำก่อน จึงนำมาสู่การรักษาพยาบาลที่ถูกต้อง
การรักษาด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์นั้นได้ผลดีมากในการลดอาการปวดในระยะประมาณ
1-3
เดือนในผู้ป่วยที่เป็นหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมและมีการกดทับเส้นประสาท
นอกจากนี้
การตอบสนองต่อการรักษาด้วยการฉีดยาสเตียรอยด์เข้าโพรงประสาทนั้นขึ้นอยู่กับ
1. ระดับความรุนแรงของการกดทับเส้นประสาทจากภาวะเสื่อมของหมอนรองกระดูกสันหลัง
2.
ลักษณะการทำงานของผู้ป่วย และพฤติกรรมของผู้ป่วย
ถ้าผู้ป่วยยังคงกลับไปทำงาน ยกของหนัก และนั่งกับพื้น ซักผ้า ปลูกต้นไม้
หรือยกของไม่ถูกวิธี ก็จะทำให้อาการปวดหลังไม่สามารถหายได้
อาการอาจจะดีขึ้นเฉพาะในช่วงที่ฉีดยา หรือรับประทานยาเท่านั้น
มีผู้ป่วยจำนวนมากก็จะบอกว่า "ห้ามทำไปหมดทุกอย่างเลยเหรอ"
อันที่จริงแล้วร่างกายของเราเมื่อมีอายุเพิ่มมากขึ้น
ก็เกิดการเสื่อมไปตามกาลเวลา บางครั้งเราเคยก้มยกของหนัก ทำงานหนัก
นั่งกับพื้นได้ในวัยเด็ก และวัยรุ่นก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไรเลย
แต่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น
เรายังทำพฤติกรรมแบบเดิมมักจะมีอาการปวดหลังก็เนื่องมากจาก
กระบวนการเสื่อมของร่างกาย การยืดหยุ่น รองรับน้ำหนักของหมอนรองกระดูกลดลง
กระดูกอ่อนที่บริเวณกระดูกข้อต่อมีการสึกหรอทำให้เกิดการเสียดสีของกระดูก
เพิ่มมากขึ้น เกิดการอักเสบของกระดูกข้อต่อได้ง่ายขึ้น
ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อเส้นประสาท
จึงส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการปวดหลังร่วมกับอาการชาร้าวลงขาด้วย
และชาบริเวณหลังเท้าและส้นเท้า เปรียบเสมือนกับอายุ 60 ปี
เราก็ไม่สามารถย้อนเวลากลับไปที่อายุ 30 ปีได้
เฉกเช่นเดียวกับร่างกายของคนเรา เมื่อเกิดการเสื่อมของกระดูกและข้อ
ก็ไม่สามารถที่จะย้อนกลับไปให้แข็งแรงเหมือนกับวัยหนุ่มสาวได้
แต่เราสามารถชะลอ ป้องกันได้ไม่ให้เกิดการเสื่อมไปมากกว่าเดิม
ซึ่งก็คือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และปรับการทำงานของผู้ป่วยนั่นเอง
รูปภาพเปรียบเทียบการเสื่อมของหมอนรองกระดูกสันหลัง ภาพซ้ายจะเห็นหมอนรองกระดูกสันหลังมีความสูงปกติ เปรียบเทียบกับภาพขวามือที่พบว่าความสูงของหมอนรองกระดูกสันหลังลดลง ร่วมกับมีการเสื่อมของกระดูกข้อต่อ ทำให้ช่องทางเดินประสาทแคบลง ทำให้เกิดการกดทับเส้นประสาท ผู้ป่วยจึงมักมีอาการปวดหลัง และปวดร้าวหรือชาร้าวลงขา โดยเฉพาะที่บริเวณน่องของขาข้างนั้น
คน
ส่วนใหญ่มักจะกังวลถึงผลเสียของการใช้ยาสเตียรอยด์ในการรักษาพยาบาล
หรือฉีดเฉพาะที่ เพราะได้ยินมานานเกี่ยวกับผลเสียของการใช้ยาสเตียรอยด์
อันที่จริงแล้วการใช้ยาทุกชนิดเปรียบเสมือนกับเหรียญที่มี 2 ด้าน
ยาทุกชนิดก็เหมือนกันที่มีทั้งคุณประโยชน์
และผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยา ขึ้นอยู่กับความรู้และความชำนาญของผู้ใช้
โดยปกติแล้ว ในทางการแพทย์ ยาสเตียรอยด์นั้นมีประโยชน์เป็นอย่างมากที่นำมาใช้ในการรักษาผู้ป่วยในโรคต่างๆ มากมาย
ยาสเตียรอยด์เป็นยาที่มีประสิทธิภาพในการลดอาการปวด
ลดอาการอักเสบได้เป็นอย่างดี
ถ้าใช้อย่างถูกต้องและไม่เกินปริมาณที่ร่างกายสามารถรับได้ก็ไม่ได้เกิดผล
ข้างเคียงตามมาอย่างที่คนกลัว
ใน
การใช้ยาสเตียรอยด์ชนิดฉีดเฉพาะที่ โดยปกติมักจะฉีดไม่เกิน 3 - 5 ครั้ง
อันเนื่องมาจากว่าถ้าฉีดรักษามากกว่านี้แสดงว่า การฉีดยาอาจจะไม่ได้ผล
และโรคที่เป็นนั้นมีระดับรุนแรงมาก อาจจำเป็นต้องรักษาด้วยวิธีการผ่าตัด
และอีกประการหนึ่งคือการฉีดยาเฉพาะที่
ในบางครั้งทำการฉีดเข้าไปโดยตรงที่ตำแหน่งที่ปวด
โดยไม่ทราบว่าตำแหน่งที่ฉีดนั้นถูกต้องหรือไม่ เช่น
บางครั้งอาจมีการฉีดยาเข้าไปในเส้นเอ็นหรือเส้นประสาทของผู้ป่วย
จึงมีผลทำให้เส้นเอ็นฉีกขาดได้ง่าย
ดังนั้นในปัจจุบันที่มีการนำเครื่องเสียงความถี่สูงมาช่วยในการระบุตำแหน่ง
ของการฉีดยาจะช่วยทำให้แพทย์ผู้รักษาสามารถระบุถึงตำแหน่งที่จะฉีดยาได้
แม่นยำมากขึ้น จึงลดผลข้างเคียงของการฉีดยาลงได้
และใช้ปริมาณยาชาในปริมาณที่ลดลง
โดยส่วนใหญ่ผลเสียของการใช้ยาสเตียรอยด์มักเกิดจากผู้ป่วยไปซื้อยามารับประทานเอง ซึ่งยาสเตียรอยด์นี้
มักจะผสมอยู่ในรูปของยาสมุนไพรพื้นบ้าน ยาจีน
ซึ่งมักจะระบุว่าเป็นยารักษาสารพัดโรค ส่วนใหญ่เวลารับประทานยากลุ่มนี้แล้ว
อาการปวดมักจะหายไปทันที
ผู้ป่วยจึงมักไปซื้อยามารับประทานอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลานานจึงเกิดผล
เสียต่างๆมากมายตามมาอาทิเช่น การเกิดโรคกระดูกพรุน ต่อมหมวกไตทำงานผิดปกติ
เกิดอาการบวมตามร่างกาย
บางครั้งอาจเกิดกระดูกหัวสะโพกตายอันเนื่องมาจากการใช้ยาสเตียรอยด์มาเป็น
ระยะเวลานาน โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์
หรือผู้ป่วยที่เป็นโรคพุ่มพวง (SLE)
ซึ่งบางครั้งแพทย์จำเป็นต้องใช้ยาสเตียรอยด์ในการรักษาเป็นระยะเวลานาน
เพื่อควบคุมอาการโรค
การใช้ยาสเตียรอยด์อาจจะมีผลต่อผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานอาจจะทำให้ระดับน้ำตาล
เพิ่มสูงขึ้นได้ และอาจมีผลต่อการควบคุมระดับน้ำตาลในกระแสเลือด
ซึ่งมักจะเป็นชั่วคราวประมาณ 2 สัปดาห์
นอกจากนี้การฉีดยาสเตียรอยด์อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดอาการสะอึกได้พบไม่มาก
และมักจะเป็นประมาณ 3 วันหลังฉีดยา
สิ่งสำคัญในการรักษาและป้องกันอาการปวดหลัง
คือ การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่จะทำให้เกิดอาการปวดหลังเพิ่มมากขึ้น
ซึ่งได้แก่ การนั่งกับพื้น การก้มยกของที่ไม่ถูกวิธี การนอนคว่ำ
การนั่งเก้าอี้ต่ำๆ เช่น การนั่งซักผ้า การนั่งทำอาหาร
หรือการนั่งเก้าอี้ที่ไม่มีพนักพิง
จะทำให้น้ำหนักของร่างกายส่วนใหญ่กระทำต่อกระดูกสันหลังบริเวณเอว
ทำให้เกิดการอักเสบของกระดูกข้อต่อ มีผลทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดเพิ่มมากขึ้น
รวมทั้งวิธีการบริหารหลัง
ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ ภาควิชาออร์โทปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์, มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
tleerapun@gmail.com , www.taninnit.com , Facebook: Dr.Keng หมอเก่ง,
line ID search : keng3407
วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556
ปวดหลัง : ทางเลือก รักษาได้ไม่ผ่าตัด
ปวดหลัง : ทางเลือก รักษาได้ไม่ผ่าตัด
อาการปวดหลัง นับว่าเป็นปัญหาสำคัญพบได้บ่อยที่สุดของโรคกระดูกและข้อ
สามารถเกิดขึ้นกับคนทุกวัย ตั้งแต่วัยหนุ่มสาว วัยทำงานจนถึงวัยผู้สูงอายุ
สาเหตุของอาการปวดหลังในวัยหนุ่มสาวและวัยทำงานส่วนใหญ่มักเกิดจากหมอนรอง
กระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท
และพฤติกรรมการจัดท่าในการทำงานที่ไม่ถูกต้อง การยกของไม่ถูกวิธี
ส่วนในวัยผู้สูงอายุสาเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อม
กระดูกข้อต่อระหว่างกระดูกสันหลังมีการอักเสบ
เกิดกระดูกงอกเนื่องจากการเสื่อมมากดทับเส้นประสาท
ทำให้เกิดอาการปวดหลังร้าวลงไปที่บริเวณสะโพก บริเวณด้านหลังของต้นขา
และบางครั้งอาจมีการปวดร้าวลงบริเวณน่อง ร่วมกับมีอาการชาบริเวณหลังเท้า
และส้นเท้าร่วมด้วย ทำให้ผู้ป่วยทนทุกข์ทรมานจากอาการปวด
มีผลต่อการทำงานและการใช้ชีวิตประจำวัน และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
เมื่อท่านมีอาการและอาการแสดงเกี่ยวกับอาการปวดหลัง
มีสัญญาณเตือนบางอย่างที่ทำให้ท่านต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย
หรืออาจจำเป็นต้องตรวจวินิจฉัยพิเศษเพิ่มเติม ได้แก่ มีอาการไข้
เมื่อรักษาด้วยการรับประทานยาแก้ปวดแล้วอาการไม่ดีขึ้น
ผู้ที่มีประวัติเคยเป็นโรคมะเร็งมาก่อน
มีอาการปวดหลังร่วมกับมีปัสสาวะเล็ดหรือไม่สามารถกลั้นอุจจาระและปัสสาวะได้
มีอาการอ่อนแรงของขา หรือเสียสมดุลของร่างกาย
มีอาการปวดหลังมากตอนกลางคืนหรือมีอาการปวดมากแม้ไม่ได้ทำงาน
หรือน้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ เป็นต้น
การรักษาอาการปวดหลัง ทำได้โดย
1. การปฏิบัติตัว ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่จะทำให้มีอาการปวดหลังเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ การนั่งกับพื้น การก้มยกของหนัก เพราะน้ำหนักของร่างการส่วนใหญ่จะลงตรงบริเวณกระดูกสันหลังส่วนเอว ทำให้เกิดการอักเสบของกระดูกข้อต่อบริเวณกระดูกสันหลัง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดเพิ่มมากขึ้น การใช้เก้าอี้นั่งควรใช้ชนิดที่มีพนักพิงหลัง เพราะจะช่วยลดแรงที่กระทำต่อกระดูกข้อต่อบริเวณสันหลังส่วนเอว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนับเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นการแก้ที่สาเหตุของอาการปวด เพราะถ้าผู้ป่วยไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รวมทั้งการลดน้ำหนักตัว อาการปวดของผู้ป่วยก็มักจะไม่ทุเลาลง และถึงแม้ว่าจะรับการรักษาด้วยการผ่าตัด ในที่สุดผู้ป่วยก็จะกลับมามีอาการปวดอีกครั้งหนึ่ง
2. การใช้ยาลดอาการปวด และยาต้านการอักเสบ ชนิดรับประทาน เพื่อบรรเทาอาการปวด
3. การใช้ยาสเตียรอยด์ร่วมกับยาชาเฉพาะที่ฉีดเข้าไปยังช่องว่างโพรงประสาท บริเวณกระดูกก้นกบ จากการศึกษาวิจัยของ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่า มากกว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาสเตียรอยด์ร่วมกับยาชาเฉพาะที่เข้าไปยังช่อง ว่างของโพรงประสาท โดยการใช้เครื่องอัลตราซาวด์ช่วยในการระบุตำแหน่งที่ฉีดสามารถลดอาการปวด หลังภายหลังการติดตามผลการรักษาเป็นระยะเวลา 3 เดือนในผู้ป่วยที่มีหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมกดทับเส้นประสาทได้ นอกจากนี้ยังทำให้การทำงานกิจวัตรประจำวัน และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น ช่วยบรรเทาอาการปวดทำให้ผู้ป่วยทำกายภาพบำบัดได้สะดวกมากขึ้น สามารถลดอุบัติการณ์การผ่าตัดกระดูกสันหลังให้ผู้ป่วยได้ กลไกในการลดอาการปวดจากการฉีดยาสเตียรอยด์จะช่วยลดการบวม การอักเสบของเส้นประสาทที่ถูกกดทับ ทำให้การไหลเวียนของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงที่บริเวณเส้นประสาทบริเวณกระดูก สันหลังดีขึ้น เส้นประสาทยุบบวมจากการอักเสบ จึงทำให้อาการปวดหลังของผู้ป่วยดีขึ้น
วิธีการนี้เหมาะสมเป็นอย่างมากสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ต้องการรักษาด้วยการ ผ่าตัดกระดูกสันหลังหรือมีความเสี่ยงสูงจากการผ่าตัด นอกจากนี้ยังใช้ได้ผลดีในกรณีที่ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดแล้ว ยังมีอาการปวดหลังและอาการปวดชาร้าวลงขา ซึ่งพยาธิสภาพที่เกิดหลังผ่าตัดคือ การมีพังผืดไปกดรัดเส้นประสาทหลังจากการผ่าตัด ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดหลังร่วมกับอาการปวดร้าวลงขาอยู่ การฉีดยานี้จะช่วยแยกสลายพังผืดที่กดรัดรอบ ๆ เส้นประสาท และลดการอักเสบของเส้นประสาท และเนื้อเยื่ออ่อน ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ทำให้ลดอาการปวดให้ผู้ป่วย อีกทางหนึ่งด้วย ยิ่งในปัจจุบันด้วยวิวัฒนาการของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า จึงมีการนำคลื่นเสียงความถี่สูงหรือเครื่องอัลตราซาวด์มาช่วยเป็นเครื่อง ชี้นำ บ่งบอกถึงตำแหน่งของบริเวณที่จะฉีดยา ทำให้การฉีดยาเข้าโพรงประสาทมีความแม่นยำมากขึ้น และสามารถทำได้โดยไม่ต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
4.การทำกายบริหารและการยืดกล้ามเนื้อ จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่นเพิ่มมากขึ้นอาการปวดหลังเป็นปัญหาที่ สำคัญดังนั้นการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงทั้งในเรื่องของการนั่งทำงานที่ไม่ ถูกต้อง การยกของที่ไม่ถูกวิธี การรักษาด้วยการใช้ยารับประทานในผู้สูงอายุควรระวังการใช้ยาในกลุ่มต้านการ อักเสบเพื่อลดอาการปวด เพราะจะทำให้มีผลต่อกระเพาะอาหาร ทำให้ปวดท้องและบางครั้งอาจทำให้เลือดออกในกระเพาะอาหารได้ การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าโพรงประสาทโดยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงบอกตำแหน่ง นับว่าเป็นทางเลือกหนึ่งของการรักษาแบบประคับประคอง เพื่อหลีกเลี่ยงการผ่าตัดที่ไม่จำเป็น
การบริหารสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลัง
การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าโพรงประสาทโดยใช้เครื่องเสียงความถี่สูงช่วยในการระบุตำแหน่งที่ฉีด
ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ ภาควิชาออร์โทปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
tleerapun@gmail.com , www.taninnit.com ,Facebook: Dr.Keng หมอเก่ง
การรักษาอาการปวดหลัง ทำได้โดย
1. การปฏิบัติตัว ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่จะทำให้มีอาการปวดหลังเพิ่มมากขึ้น ได้แก่ การนั่งกับพื้น การก้มยกของหนัก เพราะน้ำหนักของร่างการส่วนใหญ่จะลงตรงบริเวณกระดูกสันหลังส่วนเอว ทำให้เกิดการอักเสบของกระดูกข้อต่อบริเวณกระดูกสันหลัง ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดเพิ่มมากขึ้น การใช้เก้าอี้นั่งควรใช้ชนิดที่มีพนักพิงหลัง เพราะจะช่วยลดแรงที่กระทำต่อกระดูกข้อต่อบริเวณสันหลังส่วนเอว การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมนับเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เพราะเป็นการแก้ที่สาเหตุของอาการปวด เพราะถ้าผู้ป่วยไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม รวมทั้งการลดน้ำหนักตัว อาการปวดของผู้ป่วยก็มักจะไม่ทุเลาลง และถึงแม้ว่าจะรับการรักษาด้วยการผ่าตัด ในที่สุดผู้ป่วยก็จะกลับมามีอาการปวดอีกครั้งหนึ่ง
2. การใช้ยาลดอาการปวด และยาต้านการอักเสบ ชนิดรับประทาน เพื่อบรรเทาอาการปวด
3. การใช้ยาสเตียรอยด์ร่วมกับยาชาเฉพาะที่ฉีดเข้าไปยังช่องว่างโพรงประสาท บริเวณกระดูกก้นกบ จากการศึกษาวิจัยของ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พบว่า มากกว่าร้อยละ 90 ของผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาสเตียรอยด์ร่วมกับยาชาเฉพาะที่เข้าไปยังช่อง ว่างของโพรงประสาท โดยการใช้เครื่องอัลตราซาวด์ช่วยในการระบุตำแหน่งที่ฉีดสามารถลดอาการปวด หลังภายหลังการติดตามผลการรักษาเป็นระยะเวลา 3 เดือนในผู้ป่วยที่มีหมอนรองกระดูกสันหลังเสื่อมกดทับเส้นประสาทได้ นอกจากนี้ยังทำให้การทำงานกิจวัตรประจำวัน และคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยดีขึ้น ช่วยบรรเทาอาการปวดทำให้ผู้ป่วยทำกายภาพบำบัดได้สะดวกมากขึ้น สามารถลดอุบัติการณ์การผ่าตัดกระดูกสันหลังให้ผู้ป่วยได้ กลไกในการลดอาการปวดจากการฉีดยาสเตียรอยด์จะช่วยลดการบวม การอักเสบของเส้นประสาทที่ถูกกดทับ ทำให้การไหลเวียนของเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงที่บริเวณเส้นประสาทบริเวณกระดูก สันหลังดีขึ้น เส้นประสาทยุบบวมจากการอักเสบ จึงทำให้อาการปวดหลังของผู้ป่วยดีขึ้น
วิธีการนี้เหมาะสมเป็นอย่างมากสำหรับผู้ป่วยที่ไม่ต้องการรักษาด้วยการ ผ่าตัดกระดูกสันหลังหรือมีความเสี่ยงสูงจากการผ่าตัด นอกจากนี้ยังใช้ได้ผลดีในกรณีที่ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยการผ่าตัดแล้ว ยังมีอาการปวดหลังและอาการปวดชาร้าวลงขา ซึ่งพยาธิสภาพที่เกิดหลังผ่าตัดคือ การมีพังผืดไปกดรัดเส้นประสาทหลังจากการผ่าตัด ทำให้ผู้ป่วยมีอาการปวดหลังร่วมกับอาการปวดร้าวลงขาอยู่ การฉีดยานี้จะช่วยแยกสลายพังผืดที่กดรัดรอบ ๆ เส้นประสาท และลดการอักเสบของเส้นประสาท และเนื้อเยื่ออ่อน ๆ ที่อยู่รอบ ๆ ทำให้ลดอาการปวดให้ผู้ป่วย อีกทางหนึ่งด้วย ยิ่งในปัจจุบันด้วยวิวัฒนาการของเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า จึงมีการนำคลื่นเสียงความถี่สูงหรือเครื่องอัลตราซาวด์มาช่วยเป็นเครื่อง ชี้นำ บ่งบอกถึงตำแหน่งของบริเวณที่จะฉีดยา ทำให้การฉีดยาเข้าโพรงประสาทมีความแม่นยำมากขึ้น และสามารถทำได้โดยไม่ต้องนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล
4.การทำกายบริหารและการยืดกล้ามเนื้อ จะช่วยทำให้กล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่นเพิ่มมากขึ้นอาการปวดหลังเป็นปัญหาที่ สำคัญดังนั้นการหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงทั้งในเรื่องของการนั่งทำงานที่ไม่ ถูกต้อง การยกของที่ไม่ถูกวิธี การรักษาด้วยการใช้ยารับประทานในผู้สูงอายุควรระวังการใช้ยาในกลุ่มต้านการ อักเสบเพื่อลดอาการปวด เพราะจะทำให้มีผลต่อกระเพาะอาหาร ทำให้ปวดท้องและบางครั้งอาจทำให้เลือดออกในกระเพาะอาหารได้ การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าโพรงประสาทโดยการใช้คลื่นเสียงความถี่สูงบอกตำแหน่ง นับว่าเป็นทางเลือกหนึ่งของการรักษาแบบประคับประคอง เพื่อหลีกเลี่ยงการผ่าตัดที่ไม่จำเป็น
การบริหารสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดหลัง
การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าโพรงประสาทโดยใช้เครื่องเสียงความถี่สูงช่วยในการระบุตำแหน่งที่ฉีด
ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ ภาควิชาออร์โทปิดิกส์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
tleerapun@gmail.com , www.taninnit.com ,Facebook: Dr.Keng หมอเก่ง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)