วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ปวดหลังหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท นอนคว่ำ VS นอนหงาย??

ปวดหลังหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท นอนคว่ำ VS นอนหงาย??

หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท: ควรนอนท่าไหนดี?

อาการหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาทเป็นภาวะที่พบได้บ่อยและทำให้เกิดอาการปวดหลังที่รุนแรง โดยเฉพาะในบริเวณหลังส่วนล่างที่อาจร้าวไปถึงขาและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การเลือกท่านอนที่เหมาะสมสามารถช่วยลดอาการปวดและป้องกันไม่ให้อาการแย่ลง ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจว่าท่านอนหงายและนอนคว่ำมีผลอย่างไรต่อผู้ที่มีภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท

หลักการของการเลือกท่านอน

1. การนอนหงาย:

• ลดการกดทับเส้นประสาท: ท่านอนหงายช่วยให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวตรงมากขึ้น ลดการแอ่นและการกดทับของเส้นประสาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีหมอนหนุนใต้เข่าเพื่อช่วยลดแรงกดบริเวณหลังส่วนล่าง

• ผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลัง: ท่านอนหงายช่วยให้กล้ามเนื้อหลังได้ผ่อนคลาย ลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อที่อาจเป็นผลจากการอักเสบหรือตึงเครียดของกล้ามเนื้อที่พยายามรับภาระของกระดูกสันหลัง

2. การนอนคว่ำ:

• ข้อจำกัด: ท่านอนคว่ำอาจไม่เหมาะสมกับผู้ที่มีภาวะหมอนรองกระดูกเคลื่อนกดทับเส้นประสาท เนื่องจากท่านี้ทำให้กระดูกสันหลังแอ่นขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มแรงกดทับต่อหมอนรองกระดูกและเส้นประสาทได้

• กรณีที่ใช้ในกายภาพบำบัด: ในบางครั้งนักกายภาพบำบัดอาจแนะนำให้ผู้ป่วยนอนคว่ำเพื่อใช้ในการยืดเหยียดหรือออกกำลังกายเฉพาะทาง ซึ่งต้องทำอย่างระมัดระวังและอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญ โดยนักกายภาพอาจใช้หมอนหรืออุปกรณ์รองใต้ท้องหรือกระดูกเชิงกรานเพื่อจัดท่าทางให้เหมาะสม ลดการแอ่นของกระดูกสันหลัง

แนะนำท่านอนสำหรับผู้มีภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท

สำหรับผู้ที่มีภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท ท่านอนหงาย ถือเป็นท่าที่เหมาะสมที่สุด โดยควรหนุนหมอนที่ใต้เข่าให้ขาสูงขึ้นเล็กน้อยเพื่อลดแรงกดบนกระดูกสันหลัง นอกจากนี้ ผู้ป่วยสามารถนอนตะแคงข้างโดยหนีบหมอนไว้ระหว่างขาทั้งสองข้าง เพื่อช่วยให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวที่สบายและไม่เพิ่มแรงกดทับเส้นประสาท

สรุป

การเลือกท่านอนที่เหมาะสมมีผลอย่างมากต่ออาการปวดหลังสำหรับผู้ที่มีหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท การนอนหงายหรือนอนตะแคงพร้อมหนุนหมอนให้เหมาะสมจะช่วยลดแรงกดทับและช่วยให้คุณพักผ่อนได้อย่างสบายยิ่งขึ้น อย่าลืมปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อรับคำแนะนำเฉพาะที่เหมาะสมกับตัวคุณ

หากใครกำลังประสบปัญหาปวดหลัง อย่าลังเลที่จะขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือนัดหมายกับกายภาพบำบัดเพื่อรับคำแนะนำในการจัดท่าทางที่เหมาะสม และเรียนรู้วิธีออกกำลังกายเบา ๆ ที่ช่วยบรรเทาอาการปวด

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ผลกระทบของน้ำหนักตัวต่ออาการปวดหลัง: ทำไมเราต้องใส่ใจน้ำหนักเพื่อสุขภาพหลังที่ดี?

ผลกระทบของน้ำหนักตัวต่ออาการปวดหลัง: ทำไมเราต้องใส่ใจน้ำหนักเพื่อสุขภาพหลังที่ดี?

อาการปวดหลังเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในทุกช่วงวัย แต่คุณรู้หรือไม่ว่า น้ำหนักตัวของเราเอง เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังที่หลายคนมองข้าม? ถ้าคุณเคยสงสัยว่า “น้ำหนักตัวเกี่ยวข้องกับการปวดหลังอย่างไร?” บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงความเชื่อมโยงระหว่างน้ำหนักตัวและสุขภาพของหลัง พร้อมทั้งให้คำแนะนำว่าควรทำอย่างไรเพื่อดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากอาการปวดหลังที่เกิดจากน้ำหนักเกิน

น้ำหนักตัวและกระดูกสันหลัง: พี่น้องที่ต้องไปด้วยกัน

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่ากระดูกสันหลังของเราเป็นโครงสร้างหลักที่รับน้ำหนักตัวและช่วยให้เรายืน เดิน และเคลื่อนไหวได้อย่างสมดุล เมื่อเรามีน้ำหนักมากขึ้น กระดูกสันหลังก็ต้องรับภาระมากขึ้นตามไปด้วย ยิ่งน้ำหนักมาก ภาระที่กระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อรอบๆ ต้องแบกรับก็ยิ่งสูงขึ้น และสิ่งนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้คนที่มีน้ำหนักตัวมากเกิดอาการปวดหลังบ่อยครั้ง

การที่น้ำหนักตัวกดทับกระดูกสันหลังเป็นเวลานานๆ จะทำให้ หมอนรองกระดูกสันหลัง ซึ่งทำหน้าที่เป็นเบาะรองรับแรงกระแทกเสื่อมสภาพหรือถูกกดทับมากกว่าปกติ หมอนรองกระดูกที่เสื่อมลงอาจก่อให้เกิดอาการปวดหลังได้ โดยเฉพาะเมื่อเรามีกิจกรรมที่ต้องใช้หลังมากๆ เช่น การยกของหนัก การนั่งทำงานนานๆ หรือลักษณะการทำงานที่ต้องใช้แรงกายตลอดวัน

น้ำหนักเกินและโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง

ไม่เพียงแต่เรื่องของน้ำหนักที่มากจะเพิ่มโอกาสเกิดอาการปวดหลัง แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลังหลายอย่าง เช่น

1. หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Herniated Disc): เมื่อเรามีน้ำหนักตัวมาก หมอนรองกระดูกจะถูกกดทับมากขึ้น ทำให้หมอนรองกระดูกเสื่อมเร็วและมีโอกาสที่หมอนรองกระดูกจะเคลื่อนตัวหรือฉีกขาด จนเกิดการกดทับเส้นประสาท ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังอย่างรุนแรง ซึ่งอาจลามไปถึงอาการปวดขาหรือชาที่ขา

2. ข้อเสื่อม (Osteoarthritis): ข้อสันหลังของเราทำหน้าที่เหมือนจุดเชื่อมต่อของกระดูก ถ้าน้ำหนักตัวมาก ข้อต่างๆ ต้องรับน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป กระดูกอ่อนในข้อต่ออาจเสื่อมสภาพ ทำให้เกิดการเสียดสีระหว่างกระดูก ส่งผลให้เกิดอาการปวดและข้ออักเสบ

3. กล้ามเนื้ออักเสบ: น้ำหนักตัวที่มากจะทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อช่วยพยุงร่างกายให้เคลื่อนไหวได้ การทำงานหนักเกินไปของกล้ามเนื้ออาจนำไปสู่การอักเสบหรือบาดเจ็บในระยะยาว

น้ำหนักตัวกับท่าทาง: พฤติกรรมที่ควรใส่ใจ

คุณเคยสังเกตไหมว่า เมื่อเรามีน้ำหนักตัวมากขึ้น มักจะเปลี่ยนลักษณะท่าทางการเดิน การยืน หรือการนั่งโดยไม่รู้ตัว? การที่มีน้ำหนักเกินอาจทำให้ท่าทางของเราเสียสมดุล ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อพยุงตัวเองให้ตรง ตัวอย่างเช่น

• การนั่งผิดท่า: น้ำหนักตัวที่มากทำให้บางคนเอนหลังไปข้างหน้า หรือบางคนจะนั่งตัวค่อมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งท่านั่งเหล่านี้สร้างแรงกดดันต่อกล้ามเนื้อและหมอนรองกระดูกสันหลังเป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการปวดหลัง

• การเดินที่ผิดท่า: คนที่มีน้ำหนักเกินอาจมีการเดินที่ผิดปกติ เช่น การเดินหลังค่อมหรือการเดินด้วยการกดน้ำหนักลงที่ส้นเท้ามากเกินไป ท่าเดินที่ผิดเหล่านี้อาจทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของกระดูกและหมอนรองกระดูกสันหลังผิดทิศทางได้

การลดน้ำหนักช่วยลดอาการปวดหลังได้จริงหรือ?

คำตอบคือ ใช่ การลดน้ำหนักเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดอาการปวดหลัง การที่เราสามารถลดน้ำหนักลงจะช่วยลดแรงกดที่กระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูก ซึ่งเป็นการลดภาระที่กระดูกและกล้ามเนื้อต้องแบกรับ เมื่อกล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังไม่ต้องทำงานหนักเกินไป อาการปวดหลังก็จะลดลงตามไปด้วย

ไม่เพียงแต่การลดน้ำหนักจะช่วยลดอาการปวดหลังเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับกระดูกสันหลังในอนาคตอีกด้วย เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทและข้อเสื่อม

แนวทางการดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงอาการปวดหลังจากน้ำหนักเกิน

หากคุณเริ่มรู้สึกว่าอาการปวดหลังเริ่มกวนใจและน้ำหนักตัวเป็นปัจจัยสำคัญ ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำที่ช่วยลดอาการปวดหลังและดูแลสุขภาพหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

1. ลดน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไป: การลดน้ำหนักไม่ควรทำอย่างรวดเร็ว แต่ควรเน้นการลดน้ำหนักอย่างสม่ำเสมอด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น การเดินเร็ว การว่ายน้ำ หรือโยคะ ซึ่งจะช่วยลดภาระให้กับกระดูกสันหลังและเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ

2. ออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อหลัง: การเสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อหลังและแกนกลางลำตัว (Core Muscles) จะช่วยให้กล้ามเนื้อสามารถรับน้ำหนักได้ดีขึ้น และลดแรงกดที่กระดูกสันหลัง เช่น การทำ Plank หรือท่ากายบริหารที่เน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อหลัง

3. ปรับท่าทางในชีวิตประจำวัน: ควรใส่ใจท่าทางการนั่ง ยืน และเดินให้ถูกต้อง เพื่อป้องกันการกดทับและความเครียดที่มากเกินไปในกระดูกสันหลัง เช่น การนั่งหลังตรง การยืนและเดินด้วยการกระจายน้ำหนักให้สมดุล

4. หลีกเลี่ยงการยกของหนักผิดท่า: การยกของหนักควรใช้กล้ามเนื้อขาในการรับน้ำหนักแทนที่จะใช้หลัง เพราะการยกของหนักผิดท่าจะเพิ่มแรงกดที่หมอนรองกระดูกและกล้ามเนื้อหลังอย่างมาก

สรุป

น้ำหนักตัวเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่ออาการปวดหลังอย่างชัดเจน การมีน้ำหนักเกินทำให้กระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้เกิดการเสื่อมสภาพของหมอนรองกระดูกและข้อต่อที่เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มโอกาสเกิดโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลังหลายชนิด

อย่างไรก็ตาม การลดน้ำหนักและดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีจะช่วยลดภาระให้กับกระดูกสันหลัง และช่วยป้องกันอาการปวดหลังได้ในระยะยาว อย่าลืมใส่ใจสุขภาพหลังของคุณ เพราะมันเป็นโครงสร้างสำคัญที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างสมดุล!

แชร์บทความนี้เพื่อให้เพื่อนๆ และครอบครัวของคุณได้รู้ถึงผลกระทบของน้ำหนักตัวต่ออาการปวดหลัง และวิธีการดูแลสุขภาพหลังที่ถูกต้องกันเถอะ! 😊

#ปวดหลัง #สุขภาพหลัง #ลดน้ำหนัก #ดูแลตัวเอง

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ประเภทของการปวดหลัง: อาการเล็กน้อยถึงอาการเรื้อรัง

ประเภทของการปวดหลัง: อาการเล็กน้อยถึงอาการเรื้อรัง

ปวดหลัง… ปัญหายอดฮิตที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่เชื่อเถอะว่าเกือบทุกคนต้องเคยผ่านมันมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปวดเล็กน้อยหลังจากนั่งนาน หรือปวดจนลุกไม่ขึ้น! รู้ไหมว่า “การปวดหลัง” มีหลายประเภท ตั้งแต่อาการที่มาเพียงชั่วคราวจนถึงอาการเรื้อรังที่ต้องพบแพทย์เพื่อรักษา วันนี้เราจะพาคุณมาทำความรู้จักกับประเภทของอาการปวดหลังกันแบบง่ายๆ อ่านเพลิน รู้ทันเพื่อป้องกัน!

1. ปวดหลังชั่วคราว (Acute Back Pain)

นี่คืออาการปวดหลังที่เกิดขึ้นแบบฉับพลัน มักจะเกิดจากกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น นั่งทำงานนานๆ ยกของหนัก หรือนอนในท่าที่ไม่เหมาะสม อาการปวดชั่วคราวมักจะหายเองได้ภายในไม่กี่วันถึงไม่กี่สัปดาห์ แค่พักผ่อน ออกกำลังกายเบาๆ ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ คุณก็จะกลับมาเป็นปกติได้!

💡 เคล็ดลับ: ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายทุกๆ 30 นาที ถ้าต้องนั่งทำงานนานๆ ช่วยลดความตึงของกล้ามเนื้อหลังได้ดี!

2. ปวดหลังซ้ำๆ (Subacute Back Pain)

นี่คืออาการปวดที่อยู่ระหว่างกลาง คือไม่ถึงขั้นเรื้อรังแต่ก็ไม่หายขาดง่ายๆ มักจะเกิดจากการใช้กล้ามเนื้อซ้ำๆ แบบไม่ถูกวิธี เช่น ยกของหนักหลายครั้ง หรือการนั่งทำงานนานโดยไม่ปรับท่านั่ง อาการปวดจะอยู่กับคุณนานประมาณ 6 สัปดาห์ และถ้าไม่ดูแลให้ดี อาจพัฒนาเป็นอาการเรื้อรังได้

3. ปวดหลังเรื้อรัง (Chronic Back Pain)

หากคุณมีอาการปวดหลังที่ยาวนานกว่า 3 เดือน นี่อาจเป็นสัญญาณของอาการปวดเรื้อรัง ซึ่งมักเกิดจากปัญหาที่ลึกลงไป เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท โรคข้อเสื่อม หรืออาการบาดเจ็บที่ไม่ฟื้นตัว อาการนี้มักจะรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันและควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะการปล่อยไว้จะทำให้อาการแย่ลงเรื่อยๆ

💡 เคล็ดลับ: การพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียดเป็นสิ่งสำคัญ หากมีอาการปวดหลังเรื้อรัง ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และหลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือการเคลื่อนไหวที่อาจทำให้บาดเจ็บมากขึ้น

4. ปวดหลังที่เกิดจากเส้นประสาท (Nerve-Related Back Pain)

ปวดหลังจากการกดทับเส้นประสาท หรือที่เราคุ้นกันดีในชื่อ “หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท” เป็นอาการปวดที่แหลมคมและร้าวไปยังส่วนอื่นของร่างกาย เช่น ร้าวลงขา อาการแบบนี้เกิดจากหมอนรองกระดูกที่เคลื่อนออกมากดทับเส้นประสาท หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่ได้!

💡 เคล็ดลับ: ถ้าคุณมีอาการนี้ การปรึกษาแพทย์เฉพาะทางอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะอาจต้องใช้การรักษาเฉพาะทาง เช่น การกายภาพบำบัด หรือในบางกรณีการผ่าตัด

5. ปวดหลังจากกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscle-Related Back Pain)

กล้ามเนื้อหลังที่อ่อนแรงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการปวดหลังที่หลายคนมองข้าม การนั่งหรือนอนผิดท่าเป็นเวลานานจะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการอ่อนล้าและตึงตัว การออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหลังจะช่วยลดความเสี่ยงได้ดี

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

สรุป: การดูแลและป้องกันอาการปวดหลัง

ไม่ว่าคุณจะมีอาการปวดหลังแบบไหน การดูแลตัวเองด้วยการยืดกล้ามเนื้อและออกกำลังกายอย่างเหมาะสมเป็นวิธีที่ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการปวดได้ในระยะยาว แต่หากมีอาการรุนแรงหรือปวดเรื้อรัง ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างเหมาะสม อย่าปล่อยให้การปวดหลังมากวนใจชีวิตประจำวันของคุณ!

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ ของคุณรู้ว่าการปวดหลังมีหลายประเภท และวิธีป้องกันง่ายๆ ก็สามารถทำได้ที่บ้าน มาเริ่มดูแลหลังของเราให้แข็งแรงกันเถอะ! 💪✨

#ปวดหลัง #สุขภาพหลัง #ดูแลหลัง #ปวดหลังเรื้อรัง #แชร์ต่อเพื่อสุขภาพที่ดี

สาเหตุของอาการปวดหลัง: ที่ควรรู้

สาเหตุของอาการปวดหลัง: ที่ควรรู้

อาการปวดหลังเป็นปัญหาที่คนส่วนใหญ่มักเจอในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศที่นั่งทำงานนานๆ หรือแม้แต่คนที่ใช้ชีวิตแบบแอคทีฟก็สามารถประสบปัญหานี้ได้ แต่ทราบหรือไม่ว่าอาการปวดหลังนั้นมีสาเหตุหลากหลายอย่างที่คุณอาจไม่เคยรู้? วันนี้เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง เพื่อให้คุณรู้เท่าทันและป้องกันได้อย่างถูกวิธี!

1. การนั่งหรือยืนผิดท่าเป็นเวลานาน

หลายคนอาจไม่ทราบว่าท่าทางการนั่งหรือยืนที่ไม่ถูกต้องสามารถสร้างปัญหาให้กับหลังของเราได้ เช่น การนั่งทำงานที่เก้าอี้ที่ไม่รองรับหลัง หรือนั่งหลังค่อมเป็นเวลานาน สิ่งนี้ทำให้เกิดแรงกดดันสะสมที่กล้ามเนื้อและกระดูกสันหลัง จนส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรังได้ หากต้องนั่งหรือนานนานๆ ควรลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายทุกๆ 30 นาที จะช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อหลังได้

2. การยกของหนักผิดวิธี

เคยสังเกตไหมว่าเวลาที่คุณยกของหนัก เช่น ยกกระเป๋าเดินทางหรือยกถุงช้อปปิ้ง อาการปวดหลังมักตามมาในภายหลัง? นั่นเพราะว่าการยกของผิดวิธี ทำให้กระดูกสันหลังรับน้ำหนักมากกว่าที่ควร ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อหลังและหมอนรองกระดูกได้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ ควรยกของโดยใช้กล้ามเนื้อขาแทนที่จะเป็นหลัง และให้หลังตรงเสมอ

3. การออกกำลังกายที่ไม่ถูกต้อง

การออกกำลังกายเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเราทำไม่ถูกวิธีหรือฝืนร่างกายมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่หลังได้เช่นกัน โดยเฉพาะในกรณีที่ยกเวทหรือออกกำลังกายแบบหนักหน่วงโดยที่ยังไม่ได้วอร์มอัพหรือเตรียมกล้ามเนื้อเพียงพอ ฉะนั้นก่อนออกกำลังกาย ควรทำการยืดกล้ามเนื้อและตรวจสอบท่าทางที่ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บและอาการปวดหลัง

4. ความเครียดและภาวะทางจิตใจ

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ความเครียดมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการปวดหลัง! เมื่อคุณเครียดหรือมีภาวะทางจิตใจที่ไม่สมดุล ร่างกายมักจะแสดงออกในรูปแบบของอาการปวดกล้ามเนื้อ ซึ่งอาการปวดหลังเป็นหนึ่งในอาการที่พบได้บ่อย ทางแก้คือการฝึกผ่อนคลายจิตใจด้วยการทำสมาธิ การออกกำลังกายเบาๆ หรือการหายใจลึกๆ จะช่วยลดอาการปวดหลังจากความเครียดได้

5. อายุและการเสื่อมสภาพของร่างกาย

เมื่ออายุมากขึ้น การเสื่อมสภาพของกระดูกและกล้ามเนื้อเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หมอนรองกระดูกจะเริ่มเสื่อมสภาพ ทำให้แรงกดทับที่กระดูกสันหลังมากขึ้นและอาจเกิดอาการปวดหลังได้บ่อยขึ้น แต่การดูแลตัวเองให้แข็งแรงด้วยการออกกำลังกายที่เหมาะสม และการรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกก็จะช่วยชะลอการเสื่อมสภาพได้

6. โรคและภาวะที่เกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลัง

นอกจากสาเหตุที่กล่าวมาแล้ว ยังมีโรคและภาวะอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง เช่น โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท โรคข้อเสื่อม หรือแม้แต่โรคกระดูกพรุน ซึ่งหากมีอาการปวดหลังบ่อยๆ และรุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง

สรุป: การดูแลและป้องกันอาการปวดหลัง

อาการปวดหลังสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ตั้งแต่ท่าทางการใช้ชีวิตประจำวันจนถึงภาวะทางจิตใจ การดูแลตัวเองด้วยการนั่งหรือยืนในท่าที่ถูกต้อง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงความเครียดจะช่วยลดความเสี่ยงได้ แต่หากอาการปวดหลังยังคงอยู่หรือมีอาการที่รุนแรง ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการรักษา

แชร์บทความนี้เพื่อให้เพื่อนๆ และครอบครัวของคุณได้รู้จักสาเหตุของอาการปวดหลัง และวิธีป้องกันอย่างถูกต้อง!

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

โทร 0815303666

#ปวดหลัง #สุขภาพหลัง #ดูแลตัวเอง #สุขภาพดีเริ่มที่ตัวเรา

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ยกของหนักแล้วทำไมถึงปวดหลัง?

ยกของหนักแล้วทำไมถึงปวดหลัง?

เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยเจอปัญหานี้ บางครั้งแค่ยกของใช้ในบ้าน หรือยกของที่ทำงานเพียงไม่กี่ครั้ง ก็สามารถทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ทันที เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาการปวดหลังจากการยกของหนักสามารถส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมาก และอาจพัฒนาไปสู่ปัญหาที่รุนแรงกว่านี้ได้ถ้าไม่ใส่ใจรักษา

เมื่อเรายกของหนัก โดยเฉพาะเมื่อเรายกในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น การก้มตัวลงและยกขึ้นโดยใช้แค่กล้ามเนื้อหลังแทนที่จะใช้กล้ามเนื้อขา กล้ามเนื้อหลังและกระดูกสันหลังของเราจะรับน้ำหนักมากกว่าที่ควร ผลที่ตามมาก็คือการเกิดแรงกดดันที่หมอนรองกระดูก ซึ่งเป็นแผ่นเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่รองรับแรงกระแทกระหว่างกระดูกสันหลัง เมื่อหมอนรองกระดูกได้รับแรงกดดันมากเกินไป อาจทำให้หมอนรองกระดูกปลิ้นหรือเคลื่อนออกจากตำแหน่ง ส่งผลให้เกิดการกดทับเส้นประสาท นำมาซึ่งอาการปวดหลังอย่างรุนแรง และบางครั้งอาจมีอาการปวดร้าวไปที่ขาด้วย

นอกจากนี้ การยกของหนักยังส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังอักเสบได้ง่าย การที่กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนักและไม่ได้รับการพักผ่อนหรือยืดเหยียดที่เพียงพอ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้าและเกิดอาการบาดเจ็บตามมา ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเป็นอาการเรื้อรังและกลับมาปวดซ้ำ ๆ ได้หากเราไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการยกของ

การป้องกันอาการปวดหลังจากการยกของหนักไม่ใช่เรื่องยาก อย่างแรกที่ควรทำคือ ปรับท่าทางในการยกของให้ถูกต้อง ควรย่อตัวลงโดยใช้ขาและงอเข่าเพื่อให้หลังตรง เวลายกของให้ใช้กล้ามเนื้อขาและหน้าท้องเป็นหลักในการรับน้ำหนัก ไม่ควรก้มหลังลงเพื่อยกของ เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานหนักเกินไป การยกของให้ใกล้ตัวและยืดกล้ามเนื้อบ่อย ๆ ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยลดแรงกดที่หลังได้เช่นกัน

หากคุณรู้สึกปวดหลังหลังจากยกของหนัก ควรพักผ่อนและยืดเหยียดกล้ามเนื้อให้ผ่อนคลาย หากอาการไม่ดีขึ้นในระยะเวลา 1-2 วัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่ถูกต้อง เพราะอาการปวดหลังที่เกิดจากการยกของหนักไม่ควรละเลย หากไม่ใส่ใจอาจนำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่ขึ้น เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทที่ต้องได้รับการผ่าตัด

อย่าลืมว่า การดูแลร่างกายให้ถูกวิธีตั้งแต่วันนี้ เป็นการป้องกันอาการปวดหลังในระยะยาวได้ดีที่สุด และยังช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีพร้อมสำหรับทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน!

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

#ปวดหลัง #ยกของหนัก #ปวดหลังจากยกของ #วิธีแก้ปวดหลัง #ปวดหลังเรื้อรัง #ท่ายกของที่ถูกต้อง #หมอนรองกระดูก #ปวดหลังจากหมอนรองกระดูก #ดูแลสุขภาพหลัง #ลดอาการปวด #หมอเก่งกระดูกและข้อ

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2567

อาการปวดหลังจากหมอนรองกระดูกเคลื่อนคืออะไร?

อาการปวดหลังจากหมอนรองกระดูกเคลื่อนคืออะไร?

หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินคำว่า “หมอนรองกระดูกเคลื่อน” หรือ “หมอนรองกระดูกปลิ้น” แต่เคยสงสัยกันไหมว่ามันคืออะไร แล้วทำไมมันถึงทำให้เราปวดหลังได้ขนาดนี้?

หมอนรองกระดูก (หรือที่เรียกว่า หมอนรองกระดูกสันหลัง) เป็นชั้นเนื้อเยื่อที่อยู่ระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละข้อ มันทำหน้าที่เหมือนเบาะรอง เพื่อกันกระแทกและช่วยให้กระดูกสันหลังของเราขยับได้อย่างยืดหยุ่น แต่เมื่อหมอนรองกระดูกเกิดการเคลื่อนหรือปลิ้นออกมา มันจะไปกดทับเส้นประสาทที่อยู่ใกล้ ๆ ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังหรือบางครั้งปวดร้าวลงไปที่ขาด้วย

แล้วอาการมันเป็นยังไง?

คนที่มีอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนมักจะรู้สึกปวดหลังแบบตุ๊บ ๆ และมักจะปวดมากขึ้นเวลานั่งนาน ๆ หรือตอนก้มตัว ซึ่งบางครั้งความปวดนั้นจะลามไปถึงขา ทำให้รู้สึกชาหรืออ่อนแรง ซึ่งอาการนี้เราเรียกว่า Sciatica หรือ “ปวดร้าวลงขา” นั่นเอง

ทำไมหมอนรองกระดูกถึงเคลื่อน?

สาเหตุหลัก ๆ มักมาจากการใช้งานที่มากเกินไป เช่น ยกของหนักบ่อย ๆ หรือนั่งในท่าที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน ๆ หรือในบางกรณี อายุมากขึ้นก็เป็นปัจจัยให้หมอนรองกระดูกเสื่อมและเคลื่อนได้ง่ายขึ้น

การรักษาทำได้อย่างไรบ้าง?

โชคดีที่อาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเสมอไป วิธีแรกที่หมอจะแนะนำมักเป็นการพักผ่อน การทำกายภาพบำบัดเพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบ ๆ กระดูกสันหลัง หรือในบางกรณีหมออาจจะฉีดยาเพื่อลดการอักเสบ ซึ่งวิธีการเหล่านี้ช่วยบรรเทาอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่ถ้าอาการรุนแรงมากและไม่ดีขึ้นจากการรักษาด้วยวิธีอื่น การผ่าตัดอาจเป็นทางเลือกสุดท้าย ซึ่งการผ่าตัดในปัจจุบันก็ทำได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สรุปง่าย ๆ

หมอนรองกระดูกเคลื่อนก็คือการที่หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนออกจากตำแหน่งปกติ ทำให้ไปกดทับเส้นประสาทจนเกิดอาการปวด อาจปวดหลังหรือปวดร้าวไปถึงขา แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะการรักษามีหลายวิธีและหลายคนก็สามารถฟื้นตัวกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยไม่ต้องผ่าตัด

ถ้าคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการปวดหลังแบบนี้ แนะนำให้รีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาทางรักษาที่เหมาะสม เพราะบางครั้งการดูแลตัวเองให้ถูกวิธีตั้งแต่แรกจะช่วยให้เราหายจากอาการปวดได้เร็วขึ้น!

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

#หมอเก่งกระดูกและข้อ #หมอนรองกระดูกเคลื่อน #ปวดหลัง #ปวดร้าวลงขา #Sciatica #ปวดหลังรักษาได้ #กายภาพบำบัด #รักษาหมอนรองกระดูก #ไม่ต้องผ่าตัด #ปวดหลังทำไงดี #กระดูกสันหลัง

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2567

ปวดหลัง? คุณไม่ได้อยู่คนเดียว! เคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยให้หายปวดหลังและเปลี่ยนชีวิตได้!

ปวดหลัง? คุณไม่ได้อยู่คนเดียว! เคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยให้หายปวดหลังและเปลี่ยนชีวิตได้!

หลายคนในปัจจุบันต้องเผชิญกับอาการปวดหลัง ไม่ว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศที่นั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน หรือเป็นผู้ที่มีอาการปวดจากการยกของหนัก หรือแม้แต่อายุที่มากขึ้น อาการปวดหลังเป็นสิ่งที่พบเจอได้ในทุกช่วงอายุและเป็นหนึ่งในปัญหาที่ก่อให้เกิดความรำคาญอย่างมากในชีวิตประจำวัน

ทำไมถึงปวดหลัง?

อาการปวดหลังเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งหรือยืนในท่าที่ไม่ถูกต้อง การบาดเจ็บจากการทำงานหรือออกกำลังกาย ภาวะเสื่อมของหมอนรองกระดูก และบางครั้งอาจเกี่ยวข้องกับโรคกระดูกเสื่อม หรือการที่กระดูกสันหลังถูกกดทับ ความเครียดก็สามารถเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังได้เช่นกัน

การปวดหลังไม่ใช่เรื่องที่ต้องทน!

เราสามารถบรรเทาอาการปวดหลังได้ด้วยเคล็ดลับง่ายๆ ที่ทำได้เองที่บ้าน ซึ่งจะช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และไม่ต้องรู้สึกทรมานจากอาการนี้อีกต่อไป

เคล็ดลับง่ายๆ ในการดูแลหลัง:

1. ปรับเปลี่ยนท่านั่งและยืน: การนั่งและยืนในท่าทางที่ถูกต้องมีความสำคัญมาก หากคุณทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ควรจัดโต๊ะและเก้าอี้ให้เหมาะสม และลองใช้หมอนรองหลังเพื่อช่วยรองรับกระดูกสันหลัง หรือยืนพักสักครู่ทุกๆ ชั่วโมงเพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อตึงมากเกินไป

2. ออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อ: การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีมากในการป้องกันและบรรเทาอาการปวดหลัง ควรเน้นที่การยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (core muscle) ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกสันหลังและลดความเสี่ยงของการปวดหลังได้อย่างมาก

3. ยืดเหยียดกล้ามเนื้อเป็นประจำ: ท่าทางที่ไม่ถูกต้องและการใช้งานกล้ามเนื้อในชีวิตประจำวันอาจทำให้กล้ามเนื้อตึงเครียด การยืดเหยียดเบาๆ เช่น การทำโยคะหรือพิลาทิสเป็นประจำจะช่วยให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น ลดการบาดเจ็บ และช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง

4. พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับการฟื้นฟูร่างกาย เลือกใช้หมอนและที่นอนที่เหมาะสมสำหรับการรองรับสรีระ การนอนในท่าทางที่ถูกต้องจะช่วยลดแรงกดทับที่หลังและทำให้คุณตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่น

5. ลดน้ำหนัก: น้ำหนักตัวที่เกินสามารถเพิ่มแรงกดที่กระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อ การลดน้ำหนักจะช่วยลดภาระบนหลังและช่วยลดอาการปวดได้อย่างมาก

หากอาการปวดหลังยังไม่หายไป?

ถ้าอาการปวดหลังยังคงอยู่ หรือรุนแรงขึ้น ควรพิจารณาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำปรึกษา อาจจะต้องตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง แพทย์อาจจะแนะนำการทำกายภาพบำบัด การออกกำลังกายเฉพาะจุด การฉีดยาระงับปวด หรือการรักษาอื่นๆ เพื่อบรรเทาอาการและทำให้คุณกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

ไม่จำเป็นต้องทนปวดหลังต่อไป!

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลสุขภาพที่ดีสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้ และยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการซ้ำอีก เมื่อเราดูแลสุขภาพหลังของเราอย่างถูกต้อง ทุกท่านก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ได้อีกครั้ง!

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

#ปวดหลัง #บรรเทาปวดหลัง #สุขภาพดี #วิถีชีวิตที่ดี