วันศุกร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ผู้สูงอายุปวดหลังร้าวลงขา เดินไกลไม่ได้... ต้องผ่าตัดทุกคนไหม?

 


ผู้สูงอายุปวดหลังร้าวลงขา เดินไกลไม่ได้... ต้องผ่าตัดทุกคนไหม?

"คุณหมอคะ คุณแม่เดินไปหน้าปากซอยไม่ไหวแล้วค่ะ เดินได้แค่แป๊บเดียวก็บ่นปวดหลัง ปวดร้าวลงขา ต้องนั่งพักตลอด ยิ่งยืนนาน ๆ ยิ่งปวด แบบนี้กระดูกทับเส้นหรือเปล่าคะ แล้วต้องผ่าตัดไหม ท่านอายุเยอะแล้ว กลัวผ่าแล้วเดินไม่ได้ค่ะ"

นี่คือความกังวลใจของลูกหลานที่หมอได้ยินแทบทุกวันครับ อาการปวดหลังในผู้สูงอายุ เป็นเรื่องที่บั่นทอนความสุขในชีวิตบั้นปลายมาก ๆ จากคนที่เคยไปวัด ไปตลาด หรือทำสวนได้ กลายเป็นต้องนั่ง ๆ นอน ๆ เพราะความเจ็บปวด

วันนี้หมออยากพามาทำความเข้าใจโรคยอดฮิตในผู้สูงวัย ที่ชื่ออาจจะฟังดูยากอย่าง "กระดูกสันหลังเสื่อมและเคลื่อน" (Spondylosis & Spondylolisthesis) ว่ามันคืออะไร ร้ายแรงแค่ไหน


ทำไมผู้สูงอายุถึงปวดหลัง? มารู้จัก "เสื่อม" และ "เคลื่อน"

พออายุมากขึ้น ร่างกายก็เหมือนบ้านที่ผ่านการใช้งานมานานครับ ย่อมมีความสึกหรอเป็นธรรมดา ในกระดูกสันหลังของเราก็เช่นกัน มักจะเกิดปัญหา 2 อย่างนี้คู่กันครับ:

1. กระดูกสันหลังเสื่อม (Spondylosis): เปรียบเหมือนข้อต่อของบ้านที่เริ่มฝืด สนิมเกาะ หมอนรองกระดูกที่เคยยืดหยุ่นก็เริ่มทรุดตัวลง ทำให้ช่องทางออกของเส้นประสาทตีบแคบลง

2. กระดูกสันหลังเคลื่อน (Spondylolisthesis): อันนี้สำคัญครับ เกิดจากความเสื่อมที่ทำให้ข้อต่อ "หลวม" จนกระดูกชิ้นบน ไหลเลื่อนมาทับกระดูกชิ้นล่าง (ส่วนใหญ่มักเป็นที่กระดูกเอวข้อที่ 4 และ 5)

พอทั้ง "เสื่อม" และ "เคลื่อน" มารวมกัน สิ่งที่เกิดขึ้นคือ "โพรงกระดูกสันหลังตีบแคบ" ไปบีบกดทับเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการที่เป็นเอกลักษณ์มาก ๆ คือ:

  • ปวดหลังส่วนล่าง: มักปวดตื้อ ๆ ขัด ๆ เวลาขยับตัว
  • ปวดร้าวลงขา: อาจมีอาการชา หรืออ่อนแรงร่วมด้วย
  • เดินไกลไม่ได้ (Neurogenic Claudication): นี่คือจุดสังเกตสำคัญ! คนไข้จะเดินได้พักเดียวแล้วปวดขา ปวดน่อง จนต้องหยุดนั่งพัก หรือต้อง "ก้มตัว" (เช่น เข็นรถเข็นในห้าง) แล้วจะรู้สึกดีขึ้น เพราะการก้มช่วยถ่างขยายช่องเส้นประสาทครับ

รักษาอย่างไร? จำเป็นต้องผ่าตัดทุกคนไหม?

คำตอบคือ "ไม่จำเป็นครับ" คนไข้ส่วนใหญ่ (กว่า 80-90%) สามารถอาการดีขึ้นได้ด้วยการรักษาแบบประคับประคอง (Conservative Treatment) โดยไม่ต้องลงมีดผ่าตัด

หมอมีบันไดการรักษาเป็นขั้น ๆ ดังนี้ครับ:

ขั้นที่ 1: ปรับพฤติกรรมและกายภาพบำบัด

  • เสื้อเกราะอ่อน (L-S Support): ใส่เพื่อพยุงหลังเวลาต้องเดินไกล หรือนั่งรถนาน ๆ (แต่อย่าใส่ตอนนอน)
  • บริหารกล้ามเนื้อหลัง: การทำกายภาพบำบัดเพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว จะช่วยพยุงกระดูกที่หลวมให้มั่นคงขึ้นได้
  • ยา: ยาลดปวด ยาลดการอักเสบ หรือยากลุ่มระงับปวดเส้นประสาท (ตามดุลยพินิจของแพทย์)

ขั้นที่ 2: การฉีดยาเข้าโพรงกระดูกสันหลัง ถ้ากินยาแล้ว กายภาพแล้ว ยังปวดจนรบกวนชีวิตประจำวัน แต่ไม่อยากผ่าตัด หรือสภาพร่างกายไม่พร้อมผ่าตัด หมอแนะนำวิธีนี้ครับ...


ทางออกคนกลัวผ่าตัด: การฉีดยาสเตียรอยด์ระงับการอักเสบ ผ่านทางก้นกบ (Ultrasound-guided Caudal Epidural Steroid Injection)

ชื่ออาจจะยาวหน่อย แต่หลักการเข้าใจง่ายมากครับ มันคือการ "ส่งยาลดอักเสบไปที่เป้าหมายโดยตรง"

ในผู้สูงอายุที่มีกระดูกเคลื่อนหรือเสื่อม เส้นประสาทจะบวมแดงจากการถูกกดทับ การกินยาบางทีมันไปไม่ถึงจุดที่อักเสบเข้มข้นพอ เราจึงใช้วิธีฉีดยาเข้าไป "ล้าง" และ "ลดบวม" ที่รอบ ๆ เส้นประสาทเลย

เทคนิคที่ใช้คือ:

  1. ใช้อัลตราซาวนด์นำวิถี (Ultrasound Guidance): สมัยก่อนอาจต้องใช้การคลำ หรือเอกซเรย์ แต่เดี๋ยวนี้หมอใช้อัลตราซาวนด์สแกนดูตำแหน่ง "รูเปิดที่ก้นบ" (Sacral Hiatus) ทำให้เห็นภาพชัดเจน โดยไม่ต้องเสี่ยงรับรังสีจากเอกซเรย์
  2. ใช้สเตียรอยด์โดสต่ำ (Low Dose Steroid): หลายคนกลัวคำว่าสเตียรอยด์ แต่การฉีดเฉพาะจุดแบบนี้ เราใช้ปริมาณน้อยมาก เพื่อหวังผลลดการอักเสบเฉพาะที่ ไม่ได้ฉีดเข้าเส้นเลือด จึงปลอดภัยจากผลข้างเคียงทั่วร่างกาย
  3. เจ็บน้อย ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล: ใช้เวลาทำแค่ 10-15 นาที ฉีดยาชาเฉพาะที่ พักสังเกตอาการแป๊บเดียวก็กลับบ้านได้เลย

ผลลัพธ์ที่ได้: คนไข้ส่วนมากจะรู้สึกเบาตัว อาการปวดร้าวลงขาลดลงอย่างชัดเจนภายใน 3-7 วัน ช่วยให้กลับไปทำกายภาพบำบัดได้ดีขึ้น และชะลอหรือเลี่ยงการผ่าตัดไปได้นานครับ


เมื่อไหร่ที่ "หนีไม่พ้น" ต้องผ่าตัด?

แม้หมอจะพยายามเลี่ยงการผ่าตัดให้มากที่สุด แต่ในบางกรณี การผ่าตัดก็เป็นสิ่งที่ "จำเป็นต้องทำ" เพื่อรักษาคุณภาพชีวิตและการทำงานของเส้นประสาทครับ ข้อบ่งชี้ในการผ่าตัด ได้แก่:

  1. ขาอ่อนแรงชัดเจน: เช่น กระดกข้อเท้าไม่ขึ้น (Foot drop) ขาลีบลง ซึ่งแปลว่าเส้นประสาทถูกกดทับรุนแรงจนเริ่มเสียหาย
  2. ระบบขับถ่ายล้มเหลว: กลั้นปัสสาวะหรืออุจจาระไม่ได้ (Cauda Equina Syndrome) อันนี้ต้องผ่าตัดด่วนที่สุดครับ
  3. รักษาด้วยวิธีอื่นแล้วไม่หาย: กินยาก็แล้ว กายภาพก็แล้ว ฉีดยาก็แล้ว ผ่านไป 3-6 เดือน อาการยังปวดรุนแรงจนใช้ชีวิตไม่ได้ นอนไม่หลับ เดินไปไหนไม่ได้เลย

การผ่าตัดทำอะไร? หลัก ๆ คือการเข้าไป "ขยายช่องทางเดินประสาท" (Decompression) และถ้ากระดูกเคลื่อนมาก ๆ อาจต้องมีการ "ใส่เหล็กดามกระดูก" (Fusion) เพื่อให้กระดูกสันหลังมั่นคง ไม่โยกคลอนครับ


สรุป

โรคกระดูกสันหลังเสื่อมและเคลื่อนในผู้สูงอายุ เป็นเรื่องธรรมชาติของความชราครับ ไม่อยากให้ตื่นตระหนก แต่ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ

หากคุณพ่อคุณแม่เริ่มบ่นปวดหลัง เดินไกลไม่ได้ ลองพามาตรวจดูครับ การวินิจฉัยที่ถูกต้องตั้งแต่เนิ่น ๆ จะช่วยให้เรามีทางเลือกในการรักษาที่หลากหลาย โดยเฉพาะ "การฉีดยาระงับปวดด้วยอัลตราซาวนด์" ซึ่งเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยและช่วยให้ผู้สูงอายุกลับมามีรอยยิ้ม เดินเหินได้คล่องแคล่วขึ้น โดยไม่ต้องเจ็บตัวผ่าตัดครับ

ความสุขของผู้สูงอายุ คือการได้เคลื่อนไหว ได้ไปเที่ยว ได้ทำกิจกรรมร่วมกับลูกหลาน หน้าที่ของหมอคือช่วยคืนช่วงเวลาเหล่านั้นกลับมาให้ครับ


บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง)ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อสอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ📱 Line ID: @doctorkeng

#ปวดหลังผู้สูงอายุ #กระดูกสันหลังเคลื่อน #กระดูกทับเส้น #ฉีดยาบล็อกหลัง #UltrasoundGuided #ไม่ผ่าตัด #หมอเก่งกระดูกและข้อ #Spondylolisthesis #เดินไกลไม่ได้ #ปวดร้าวลงขา


วันพฤหัสบดีที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2568

ปวดหลังร้าวลงขาซ้าย แบบจี๊ด ๆ ตามแนวข้างขา คืออะไร? เกิดจากอะไร? และต้องดูแลอย่างไร

 



ปวดหลังร้าวลงขาซ้าย แบบจี๊ด ๆ ตามแนวข้างขา คืออะไร? เกิดจากอะไร? และต้องดูแลอย่างไร

หลายคนมีอาการคล้ายกันนี้—ปวดหลังตึง ๆ ร้าวลงขาซ้ายด้านข้าง บางครั้งจี๊ดเสียวเหมือนเส้นกระตุกบริเวณเหนือข้อเท้า แต่ไม่ได้ปวดตลอดเวลา อาการแบบนี้ทำให้หลายคนกังวลมากว่า “เป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นไหม?” หรือ “เกิดจากนั่งทำงานทั้งวันหรือเปล่า?” วันนี้หมอจะเล่าให้ฟังแบบเข้าใจง่ายครับ

อาการของคุณเข้าข่ายอะไร?

จากที่เล่ามา อาการ ปวดหลังตึง + ปวดร้าวลงขาซ้ายด้านข้าง + เจ็บแบบจี๊ดเหนือข้อเท้า เป็นอาการที่มักเกี่ยวข้องกับ เส้นประสาทสันหลังระดับ L5 ซึ่งควบคุมด้านข้างต้นขา น่อง และหลังเท้าครับ

อาการที่บอกว่าอาจเป็นเส้นประสาทถูกกด ได้แก่

  • ปวดร้าวเป็นเส้นจากหลัง → สะโพก → ต้นขา → ข้างน่อง → หลังเท้า
  • เจ็บจี๊ดเฉียบพลันเหมือนไฟช็อตเป็นครั้งคราว
  • ปวดมากขึ้นเวลานั่งนาน ก้ม หรือขับรถนาน ๆ
  • ดีขึ้นเวลายืน เดิน หรือเปลี่ยนอิริยาบถ

ถ้าใช่แบบนี้ ส่วนใหญ่มักยังไม่รุนแรง และมาจากท่าทางและพฤติกรรมซ้ำ ๆ ในชีวิตประจำวันครับ

ทำไมถึงปวด? เกิดจากอะไร?

หมอขออธิบายให้เห็นภาพง่าย ๆ นะครับ

1) นั่งทำงานทั้งวัน

เวลานั่งนาน ๆ โดยเฉพาะนั่งหลังงอ หรือนั่งเอนตัวไปหน้า หมอนรองกระดูกจะถูกกดตลอด ทำให้มัน บวม นูน หรือระคายเส้นประสาท ได้

2) ขับรถนาน

เวลาขับรถ กล้ามเนื้อหลังส่วนล่างและสะโพกจะเกร็งค้างเป็นเวลานาน ทำให้

  • เส้นประสาทถูกดึงรั้ง
  • กล้ามเนื้ออักเสบเฉพาะจุด
  • อาการปวดร้าวเป็นครั้งคราว

3) กล้ามเนื้อสะโพกตึงมาก

โดยเฉพาะกล้ามเนื้อกลุ่ม gluteus medius และ piriformis หากตึงมากจะกดเส้นประสาท ทำให้ปวดร้าวลงขาได้

4) หมอนรองกระดูกเสื่อมตามวัย

แม้ยังไม่ถึงขั้น “ปลิ้น” แต่ถ้าเสื่อมบางส่วนแล้ว ก็ทำให้ปวดเป็น ๆ หาย ๆ เมื่อใช้งานหนัก

แล้วอันตรายไหม?

ส่วนใหญ่ ไม่อันตราย แต่ควรระวังหากมีอาการต่อไปนี้:

  • เดินกระดกข้อเท้าไม่ขึ้น (เท้าตก)
  • ชาหรืออ่อนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ
  • ปวดจนทนไม่ได้ หรือปวดกลางคืนจนหลับไม่ได้

ถ้ามีอาการเหล่านี้ต้องพบแพทย์ครับ แต่จากที่เล่า ดูเป็นกลุ่มอาการระดับเบาถึงกลางที่รักษาได้

วินิจฉัยอย่างไร?

แพทย์มักตรวจดังนี้:

  1. ตรวจร่างกายดูเส้นประสาท

เช่น ยกขาตรง, ทดสอบแรงเท้า, เช็คการรับความรู้สึกผิวหนัง

  1. เอกซเรย์

เพื่อดู alignment และความเสื่อมของข้อ

  1. MRI (ถ้าจำเป็น)

ใช้กรณีอาการไม่ดีขึ้นภายใน 4–6 สัปดาห์ หรือสงสัยหมอนรองกระดูกทับเส้นจริง ๆ

ต้องรักษาอย่างไร?

หมอแนะนำเป็นลำดับดังนี้ครับ

✔️ 1) ปรับท่านั่งทันที (สำคัญที่สุด)

  • นั่งหลังตรง ใช้พนักพิง
  • เก้าอี้ต้องสูงพอดี เท้าแตะพื้นเต็ม
  • ห้ามนั่งไขว่ห้าง
  • ลุกเดินยืดเส้นทุก 30–45 นาที

✔️ 2) ยืดกล้ามเนื้อที่หลัง–สะโพกทุกวัน

โดยเฉพาะท่าเหล่านี้

  • ยืดกล้ามเนื้อสะโพกด้านข้าง
  • ยืด piriformis
  • ยืดเอ็นหลังขา ทำช้า ๆ วันละ 5–10 นาทีพอครับ

✔️ 3) ประคบอุ่นบริเวณที่ตึง

ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ลดการเกร็งของกล้ามเนื้อ

✔️ 4) ยาคลายกล้ามเนื้อ หรือยาลดอักเสบ (ถ้าจำเป็น)

แพทย์จะพิจารณาตามความเหมาะสม เพื่อให้ช่วงอาการกำเริบรุนแรงดีขึ้น

✔️ 5) กายภาพบำบัด

ช่วยมากในกรณีที่มีอาการร้าวลงขาบ่อย ๆ เพราะเน้นการทำให้

  • เส้นประสาทลื่นตัวดีขึ้น
  • กล้ามเนื้อรอบหลัง–สะโพกแข็งแรง

พยากรณ์โรค

อาการแบบนี้ส่วนใหญ่มัก ดีขึ้นใน 2–6 สัปดาห์ หากปรับพฤติกรรมและบริหารถูกต้อง แต่ถ้ายังนั่งผิดท่า ทำงานหนัก ไม่พัก หรือขับรถนาน อาจเป็น ๆ หาย ๆ ครับ

การป้องกันคือหัวใจหลักของอาการกลุ่มนี้

หมออยากบอกว่า…

อาการของคุณเข้ากับกลุ่มเส้นประสาทระคายเคืองระดับเริ่มต้น ซึ่งไม่อันตรายและรักษาให้ดีขึ้นได้จริง เพียงแค่เริ่มปรับท่านั่ง ลุกเดินบ่อยขึ้น และยืดเบา ๆ ทุกวัน อาการปวดจี๊ดและปวดร้าวลงขามักลดลงชัดเจนครับ

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง)

ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ

สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ

📱 Line ID: @doctorkeng โทร 081-5303666

#ปวดหลัง #ปวดร้าวลงขา #เส้นประสาทถูกกด #นั่งทำงานนาน #หมอเก่งกระดูกและข้อ #สุขภาพหลัง #ดูแลตัวเอง

วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568

Tarlov Cyst เจอจาก MRI...ใช่สาเหตุของปวดหลังจริงไหม หรือแค่บังเอิญ?


 Tarlov Cyst เจอจาก MRI...ใช่สาเหตุของปวดหลังจริงไหม หรือแค่บังเอิญ?

"หมอคะ หนูไปตรวจ MRI มา แล้วเขาบอกว่ามีก้อนที่เรียกว่า Tarlov Cyst อยู่ที่กระดูกก้นกบ น่ากลัวไหมคะ? มันเป็นสาเหตุของอาการปวดหลังหนูหรือเปล่า?"

เป็นคำถามจากคนไข้หญิงอายุประมาณ 40 ปี ที่มีอาการปวดหลังเรื้อรังมาหลายเดือน

เมื่ออ่านผล MRI แล้วเจอคำว่า "Tarlov Cyst" หลายคนก็ตกใจ เพราะฟังดูเหมือนเป็นก้อนเนื้องอก หรือสิ่งผิดปกติในไขสันหลัง

หมอเลยอยากเล่าให้ฟังครับว่า...จริง ๆ แล้ว "Tarlov Cyst" เป็นเรื่องที่เจอได้บ่อยกว่าที่คิด และไม่จำเป็นต้องน่ากลัวเสมอไปครับ

Tarlov Cyst คืออะไร?

Tarlov Cyst หรือชื่อเต็มว่า "Perineural cyst" คือ ถุงน้ำเล็ก ๆ ที่พบบริเวณรากประสาทไขสันหลัง โดยเฉพาะที่บริเวณกระเบนเหน็บ หรือ sacrum (บริเวณก้นกบ)

ถุงนี้มีของเหลวคล้าย ๆ น้ำหล่อสมองไขสันหลัง (CSF) อยู่ภายใน

บางคนมีหลายถุง บางคนมีแค่ 1 ถุง และส่วนใหญ่มีขนาดเล็กไม่ถึง 1 ซม.

เป็นเรื่องผิดปกติไหม?

Tarlov Cyst ถือเป็นถุงน้ำที่ "พบโดยบังเอิญ" ใน MRI ได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้ที่ตรวจหลังจากมีอาการปวดหลังเรื้อรัง

แต่ในความเป็นจริง...มีคนจำนวนมากที่มีถุงนี้อยู่โดยไม่เคยมีอาการอะไรเลย

ดังนั้น การพบถุงนี้ ไม่ได้แปลว่าเป็นโรคร้าย หรือเป็นสาเหตุของอาการเสมอไปครับ

แล้วมันทำให้ปวดหลังได้ไหม?

คำตอบคือ... "ได้ แต่ไม่บ่อย"

ส่วนใหญ่ Tarlov Cyst ไม่ทำให้เกิดอาการ

แต่ในบางรายที่ถุงมีขนาดใหญ่ หรืออยู่ในตำแหน่งที่ไปกดเบียดเส้นประสาท อาจทำให้เกิดอาการเช่น:

  • ปวดหลังล่าง
  • ร้าวลงขา
  • ชา หรืออ่อนแรงบางส่วน
  • ปวดก้นกบเวลานั่งนาน ๆ
  • หรือในบางกรณีอาจมีปัญหาขับถ่ายหรือการควบคุมปัสสาวะผิดปกติ

แต่ต้องย้ำว่า...อาการเหล่านี้เกิดขึ้นได้ "น้อยมาก" เมื่อเทียบกับจำนวนคนที่มี Tarlov Cyst จริง ๆ

จะรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นสาเหตุของอาการปวดหลังหรือไม่?

  1. ตำแหน่งของถุงน้ำต้องสัมพันธ์กับอาการ เช่น ถ้าปวดร้าวลงขาขวา แต่ถุงอยู่ด้านซ้าย ก็มักไม่ใช่
  2. ขนาดของถุงน้ำ – ถ้ามีขนาดเล็กมาก (ไม่ถึง 1 ซม.) และไม่มีลักษณะกดเบียดเส้นประสาทในภาพ MRI ก็มักไม่ใช่สาเหตุหลัก
  3. อาการต้องเฉพาะเจาะจง – เช่น ปวดแบบเส้นประสาทอักเสบ ชาแปล๊บ หรือขาอ่อนแรงร่วมด้วย
  4. ต้องตัดสาเหตุอื่น ๆ ออกก่อน – เช่น หมอนรองกระดูกเคลื่อน, ข้อต่ออักเสบ หรือกล้ามเนื้อเกร็งตัว

แนวทางการรักษาเป็นอย่างไร?

ในกรณีที่ Tarlov Cyst ไม่ได้ก่ออาการ:

  • ไม่ต้องรักษาอะไรครับ แค่ติดตามอาการก็พอ
  • ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือดูดน้ำออก เพราะเสี่ยงมากกว่าผลดี

แต่ถ้ามั่นใจว่าถุงนี้เป็นสาเหตุของอาการจริง:

  • อาจเริ่มจากการรักษาแบบประคับประคอง เช่น ยาแก้ปวด การทำกายภาพบำบัด
  • ในบางรายที่รุนแรงมาก อาจพิจารณาการฉีดยาชาหรือยาสเตียรอยด์เข้าไปบริเวณรากประสาทที่ถูกกดทับ โดยใช้ ultrasound หรือ fluoroscope นำทาง
  • การผ่าตัดเป็นทางเลือกสุดท้าย และต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลังเท่านั้น

หมอสรุปให้นะครับ

การเจอ Tarlov Cyst ใน MRI ไม่ได้แปลว่าเป็นต้นเหตุของอาการปวดหลังเสมอไป

คนส่วนใหญ่ที่พบถุงนี้ ไม่มีอาการ และไม่จำเป็นต้องทำอะไร

แต่ถ้ามีอาการชัดเจน และตำแหน่งถุงสัมพันธ์กับอาการ หมอจะช่วยประเมินอย่างละเอียด และเลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุดให้ครับ

อย่าเพิ่งตกใจเมื่อเห็นคำว่า Tarlov Cyst เพราะในหลาย ๆ กรณี มันเป็นแค่ "ของแถม" ที่ไม่ได้ก่อปัญหาอะไรเลยครับ

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง)

ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ

สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ

📱 Line ID: @doctorkeng โทร 081-5303666

#TarlovCystคืออะไร #ปวดหลังเรื้อรัง #ตรวจMRIเจอถุงน้ำ #หมอกระดูก #หมอเก่งกระดูกและข้อ

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2568

กระดูกสันหลังเคลื่อน L4-L5... มีผลต่อ "เรื่องบนเตียง" ไหม? ท่าไหนปลอดภัย ท่าไหนต้องเลี่ยง?

 

กระดูกสันหลังเคลื่อน L4-L5... มีผลต่อ "เรื่องบนเตียง" ไหม? ท่าไหนปลอดภัย ท่าไหนต้องเลี่ยง?

"หมอครับ... ตั้งแต่รู้ว่ากระดูกหลังเคลื่อน ผมไม่กล้าทำการบ้านกับภรรยาเลยครับ กลัวขยับผิดท่าแล้วหลังจะเดาะ หรือกระดูกมันจะหลุดออกมามากกว่าเดิม เรื่องนี้มันมีผลกระทบไหมครับ?"

นี่เป็นคำถามที่คนไข้หลายท่านอยากถามแต่ไม่กล้าพูดครับ หมอขอบอกเลยว่า เรื่องเพศสัมพันธ์เป็นส่วนหนึ่งของคุณภาพชีวิตที่ดี และโรคปวดหลังไม่ควรเป็นอุปสรรคในการมีความสุขกับคู่ชีวิตครับ

สำหรับผู้ที่มีภาวะ "กระดูกสันหลังเคลื่อน" (Spondylolisthesis) โดยเฉพาะตรงเอวข้อที่ 4-5 (L4-L5) หลักการสำคัญคือ "ห้ามแอ่นหลัง" ครับ เพราะการแอ่นจะยิ่งส่งเสริมให้กระดูกข้อบนไถลตัวไปข้างหน้ามากขึ้น

วันนี้หมอเก่งจะมาไขข้อข้องใจ และแนะนำการปรับท่าทางที่ปลอดภัยต่อกระดูกสันหลังครับ

โรคนี้ทำให้ "เสื่อมสมรรถภาพ" ไหม?

โดยตัวโรคกระดูกเคลื่อนเอง "ไม่ได้ทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ" ครับ อวัยวะเพศยังแข็งตัวและมีความรู้สึกได้ตามปกติ (ยกเว้นในรายที่เป็นรุนแรงมากจนกดทับเส้นประสาทควบคุมการขับถ่ายและอวัยวะเพศ ซึ่งพบน้อยมากและต้องผ่าตัดด่วน)

แต่สิ่งที่ทำให้สมรรถภาพดูเหมือนลดลง คือ "ความปวด" และ "ความกลัว" ครับ พอขยับแล้วเจ็บ หรือกังวลว่าจะเจ็บ ร่างกายก็จะตอบสนองได้ไม่เต็มที่

ท่าที่ "อันตราย" และควรเลี่ยง (Red Zone) ❌

จำหลักการง่ายๆ ไว้ว่า "ท่าไหนที่ทำให้หลังแอ่น ท่านั้นคือศัตรู" ครับ

  1. ท่าที่ต้องแอ่นหลังรับน้ำหนัก: สำหรับฝ่ายชาย ถ้าต้องยืนหรือคุกเข่าในท่าที่หลังแอ่นมากๆ เพื่อสอดใส่ จะทำให้แรงกดที่ข้อต่อกระดูกสันหลัง (Facet Joint) สูงมาก และกระดูกอาจเคลื่อนเพิ่มได้
  2. ท่าที่ฝ่ายหญิงนอนคว่ำราบ: สำหรับฝ่ายหญิงที่เป็นโรคนี้ การนอนคว่ำราบกับเตียงจะทำให้หลังแอ่นโดยอัตโนมัติ ยิ่งถ้ามีการกดทับจากด้านหลัง จะยิ่งปวดร้าวลงขาได้ทันที

ท่าที่ "แนะนำ" และปลอดภัย (Green Zone) ✅

เป้าหมายคือจัดท่าให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวตรง (Neutral) หรือก้มตัวเล็กน้อย (Flexion) เพื่อล็อคกระดูกไม่ให้เคลื่อน

1. ท่านอนตะแคง (Side-Lying / Spooning)

  • ทำอย่างไร: ทั้งคู่หันหน้าไปทางเดียวกัน (ท่าช้อน) โดยให้งอเข่าขึ้นมาเล็กน้อยทั้งคู่
  • ทำไมถึงดี: ท่านี้กระดูกสันหลังจะอยู่ในแนวตรงที่สุด ไม่มีการบิดหรือแอ่น และประหยัดแรง เป็นท่าที่หมอแนะนำเป็นอันดับ 1 สำหรับคนปวดหลังครับ

2. ท่านอนหงาย (Missionary) แบบประยุกต์

  • สำหรับฝ่ายหญิงที่เป็นโรค: ให้นอนหงาย แต่ต้อง "เอาหมอนใบใหญ่รองใต้เข่า" หรือชันเข่าขึ้น การงอเข่าจะช่วยให้กระดูกสันหลังส่วนเอวแนบชิดกับพื้นเตียง ลดความแอ่น และลดแรงกดทับเส้นประสาทได้ดีมาก
  • สำหรับฝ่ายชายที่เป็นโรค: ควรใช้ศอกหรือมือยันพื้นรับน้ำหนักตัวไว้ พยายามเกร็งหน้าท้องเล็กน้อยเพื่อให้หลังตรง ไม่ควรแอ่นเอวส่งแรง แต่ให้ใช้การโยกจากสะโพกแทน

3. ท่าสุนัข (Doggy Style) แบบดัดแปลง

  • ปกติท่านี้จะทำให้หลังแอ่นตกท้องช้าง ซึ่งไม่ดีครับ
  • วิธีแก้: ฝ่ายที่อยู่ด้านหน้า (ฝ่ายรับ) "ห้ามใช้มือยันพื้น" แต่ให้ "ลดตัวลงใช้ศอกยันพื้น" หรือนอนคว่ำเอาอกแนบหมอนใบใหญ่ๆ เพื่อให้หลังโค้งนูนขึ้นเล็กน้อย (คล้ายท่ากราบพระ) ท่านี้จะช่วยเปิดช่องกระดูกสันหลัง ทำให้สบายหลังขึ้นครับ

คำแนะนำเพิ่มเติมจากหมอ

  1. การสื่อสารสำคัญที่สุด: บอกคู่ของคุณตรงๆ ว่า "ท่านี้ผม/ฉันเจ็บ" หรือ "ขอลองท่านี้แทนนะ" ความเข้าใจจะช่วยลดความกังวลและทำให้ผ่อนคลายทั้งคู่ครับ
  2. ใช้หมอนช่วย: หมอนคืออุปกรณ์เสริมที่ดีที่สุดครับ เอามาหนุนหลัง หนุนเข่า หรือรองรับน้ำหนักในจุดที่ต้องการ จะช่วยลดภาระกล้ามเนื้อได้มาก
  3. ช่วงเวลา: เลือกช่วงเวลาที่ร่างกายพักผ่อนเต็มที่และอาการปวดน้อยที่สุด อาจทานยาแก้ปวดก่อนมีกิจกรรมสัก 30-60 นาที หรืออาบน้ำอุ่นเพื่อคลายกล้ามเนื้อก่อนก็ได้ครับ

บทสรุป

กระดูกหลังเคลื่อนไม่ใช่จุดจบของความสัมพันธ์ครับ เรายังสามารถมีความสุขได้เหมือนเดิม เพียงแค่ต้องปรับเปลี่ยนท่วงท่าให้เหมาะสมกับสรีระของเรา

จำไว้เสมอว่า "เน้นท่าที่หลังตรง หรืองอเข่าช่วย" และหลีกเลี่ยงการแอ่นหลังรุนแรง เพียงเท่านี้คุณก็สามารถดูแลความสัมพันธ์ไปพร้อมๆ กับการดูแลสุขภาพหลังได้อย่างสมดุลครับ

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng

#ปวดหลังกับเพศสัมพันธ์ #กระดูกหลังเคลื่อน #Spondylolisthesis #ดูแลสุขภาพหลัง #ครอบครัว #หมอเก่งกระดูกและข้อ #DoctorKeng

กระดูกสันหลังข้อ L4 เคลื่อนออกจาก L5 (3 มม.) แถมหมอนรองกระดูกทับเส้น! ... ต้องดูแลตัวเองอย่างไร ไม่ให้พังไปกว่าเดิม?

 





กระดูกสันหลังข้อ L4 เคลื่อนออกจาก L5 (3 มม.) แถมหมอนรองกระดูกทับเส้น! ... ต้องดูแลตัวเองอย่างไร ไม่ให้พังไปกว่าเดิม?

"หมอคะ ผล MRI บอกว่ากระดูกสันหลังข้อที่ 4 มันเลื่อนหลุดจากข้อที่ 5 ไปตั้ง 3 มิลลิเมตรแน่ะค่ะ แถมยังมีหมอนรองกระดูกปลิ้นออกมาทับเส้นประสาทด้วย... ฟังดูน่ากลัวมากเลยค่ะ กระดูกมันจะหลุดออกมาไหมคะ? หนูต้องนอนนิ่งๆ ห้ามขยับเลยหรือเปล่า?"

ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ... หมอเข้าใจครับว่าคำว่า "กระดูกเคลื่อน" ฟังดูสยองขวัญเหมือนตึกจะถล่ม แต่ในทางการแพทย์ การเคลื่อนระดับ 3 มิลลิเมตร ถือว่าเป็น "เกรด 1 (ระยะเริ่มต้น)" ครับ

เปรียบเหมือน "โบกี้รถไฟ" ที่มันปลดล็อคแล้วขยับออกจากกันนิดหน่อย แต่มันยังไม่ตกรางครับ รถไฟขบวนนี้ยังวิ่งต่อได้ เพียงแต่เราต้องขับนิ่มๆ และดูแลช่วงล่างให้ดีเป็นพิเศษ

วันนี้หมอเก่งจะมาบอก "คู่มือการใช้งานหลัง" ฉบับคนกระดูกเคลื่อน L4-L5 ให้ฟังครับ

ความจริงที่ต้องรู้: "เคลื่อน" + "ทับเส้น" คืออะไร?

ภาวะนี้คือ "ศึก 2 ด้าน" ครับ

  1. ความไม่มั่นคง (Instability): กระดูก L4 ที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้า ทำให้หลังช่วงเอว "หลวม" และขยับผิดจังหวะได้ง่าย
  2. การกดทับ (Compression): พอขยับผิดที่ ก็ไปบีบหมอนรองกระดูกให้ปลิ้นไปกดทับเส้นประสาทด้านหลัง ทำให้มีอาการปวดร้าวลงขา หรือชา

เป้าหมายของเราคือ: ทำให้หลัง "นิ่ง" และ "แข็งแรง" เพื่อไม่ให้มันเลื่อนไปมากกว่า 3 มิล ครับ

กฎเหล็ก: 4 สิ่งที่ "ต้องห้าม" (ถ้าไม่อยากให้เคลื่อนเพิ่ม) ❌

  1. ห้าม "แอ่นหลัง" เยอะๆ:
    • ท่าโยคะท่าแมวน้ำ, ท่าสะพานโค้ง หรือการนอนคว่ำเล่นมือถือท่าแอ่นหลัง จะทำให้กระดูก L4 ยิ่งไถลไปข้างหน้ามากขึ้นครับ
    • ทริค: พยายามรักษาหลังให้ตรง (Neutral Spine) หรือก้มตัวนิดๆ จะสบายกว่า
  2. ห้าม "ยกของหนัก" (เด็ดขาด!):
    • แรงกดจากการยกของ จะบีบให้หมอนรองกระดูกปลิ้น และดันให้กระดูกเคลื่อนตัว
    • ถ้าจำเป็นต้องถือของ ให้ถือชิดลำตัวที่สุด และห้ามเกิน 2-3 กิโลกรัมในช่วงแรก
  3. ห้าม "บิดเอว" เร็วๆ:
    • เช่น วงสวิงกอล์ฟ, เอี้ยวตัวหยิบของเบาะหลังรถ หรือเต้นแอโรบิกท่าหมุนเอวแรงๆ
    • วิธีแก้: จะหันไปทางไหน ให้ "ก้าวเท้า" หมุนไปทั้งตัวครับ อย่าบิดแค่เอว
  4. ห้าม "กระแทก":
    • งดวิ่งมาราธอน, กระโดดเชือก หรือนั่งรถที่ขับตกหลุมบ่อยๆ แรงสะเทือนจะทำให้โครงสร้างที่หลวมอยู่แล้ว ยิ่งคลอนแคลนครับ

สิ่งที่ "ต้องทำ" (เพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตได้) ✅

1. สร้าง "เข็มขัดธรรมชาติ" (Core Stabilization)

  • นี่คือยาขนานเอกครับ! ถ้ากล้ามเนื้อหน้าท้องและหลังแข็งแรง มันจะช่วย "ดึงรั้ง" กระดูก L4 ไว้ไม่ให้ไหลไปข้างหน้า
  • ท่าแนะนำ: ท่า "แขม่วท้องล็อคหลัง" (นอนหงายชันเข่า กดหลังแนบพื้น) ที่หมอเคยสอนไป ท่านี้ปลอดภัยที่สุดสำหรับคนกระดูกเคลื่อนครับ

2. ปรับท่านอน

  • นอนหงาย: ให้เอาหมอนใบใหญ่ๆ "รองใต้เข่า" เพื่อให้เข่างอเล็กน้อย ท่านี้จะช่วยลดความแอ่นของหลัง ทำให้ช่องกระดูกเปิดกว้างขึ้น เส้นประสาทไม่โดนบีบ
  • นอนตะแคง: กอดหมอนข้าง และงอเข่าคู้ตัวเล็กน้อย (ท่ากุ้ง) จะสบายหลังที่สุดครับ

3. การนั่ง

  • อย่านั่งเก้าอี้ที่นิ่มจนตัวจม หรือเก้าอี้ที่ไม่มีพนักพิง
  • ควรนั่งเก้าอี้ทำงานที่มีพนักดันหลัง (Lumbar Support) และนั่งให้ก้นชิดพนัก เพื่อล็อคกระดูกสันหลังไว้

สัญญาณอันตราย: เมื่อไหร่ต้องผ่าตัด? ⚠️

คนไข้ส่วนใหญ่ (กว่า 80%) อยู่กับภาวะนี้ได้โดยไม่ต้องผ่าตัดครับ แค่ปรับพฤติกรรมก็หายปวด แต่ถ้ามีอาการเหล่านี้ ต้องรีบมาคุยเรื่องผ่าตัดครับ:

  1. ขาอ่อนแรง: กระดกข้อเท้าไม่ขึ้น เดินแล้วขาพับ
  2. ระบบขับถ่ายพัง: กลั้นปัสสาวะ/อุจจาระไม่ได้ หรือชาบริเวณรอบก้น
  3. ปวดทรมาน: รักษาเต็มที่ 3-6 เดือนแล้ว ยังเดินไม่ได้ หรือใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้เลย

บทสรุป

กระดูกเคลื่อน 3 มิลลิเมตร ไม่ใช่จุดจบครับ แต่เป็น "จุดเปลี่ยน" ให้เราหันมาทะนุถนอมหลังมากขึ้น จำง่ายๆ คือ "อย่ายกหนัก อย่าบิดเอว อย่าแอ่นหลัง" และหมั่น "แขม่วท้อง" บ่อยๆ

ถ้าคุณทำตามวินัยนี้ได้ กระดูกก็จะหยุดเคลื่อน อาการปวดจะหายไป และคุณจะอยู่กับมันได้อย่างสันติไปตลอดชีวิตครับ

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng

 #กระดูกสันหลังเคลื่อน #Spondylolisthesis #หมอนรองกระดูกทับเส้น #ปวดหลังร้าวลงขา #กายภาพบำบัด #หมอเก่งกระดูกและข้อ #DoctorKeng

ปวดหลัง "หมอนรองกระดูกทับเส้น" ออกกำลังกายท่าไหนดี? รวม 4 ท่าสร้าง "เกราะป้องกันหลัง" (ปลอดภัย ไม่เจ็บเพิ่ม)

 





ปวดหลัง "หมอนรองกระดูกทับเส้น" ออกกำลังกายท่าไหนดี? รวม 4 ท่าสร้าง "เกราะป้องกันหลัง" (ปลอดภัย ไม่เจ็บเพิ่ม)

"หมอครับ ผมเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้น ปวดหลังร้าวลงขา อยากออกกำลังกายให้หลังแข็งแรง แต่ไม่กล้าทำท่าซิทอัพ กลัวหลังพังกว่าเดิม มีท่าไหนแนะนำไหมครับ?"

นี่คือสิ่งที่คนไข้ถามหมอทุกวันครับ และหมอขอยืนยันตรงนี้เลยว่า "คนปวดหลัง ห้ามทำท่าซิทอัพ (Sit-up) เด็ดขาด!" เพราะการงอตัวแรงๆ จะยิ่งบีบหมอนรองกระดูกให้ปลิ้นออกมาทับเส้นประสาทมากขึ้น

แต่... การไม่ออกกำลังกายเลย ก็จะทำให้กล้ามเนื้อลีบ และปวดเรื้อรังไม่หายสักที

ทางออกคือการสร้าง "กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว" (Core Muscles) เปรียบเสมือนการสร้าง "เสื้อเกราะธรรมชาติ" (Natural Corset) มาพยุงกระดูกสันหลังไว้ครับ

วันนี้หมอเก่งคัดมาให้ 4 ท่าบริหาร ที่ออกแบบมาเพื่อคนปวดหลังโดยเฉพาะ เน้นความนิ่ง (Stability) ปลอดภัย และเห็นผลจริงครับ

กฎเหล็กก่อนเริ่ม (ต้องอ่าน!)

  1. ห้ามกลั้นหายใจ: ให้หายใจเข้า-ออก ลึกๆ ยาวๆ ตลอดเวลา
  2. หยุดทันทีถ้าเจ็บ: ถ้าทำแล้วปวดร้าวลงขา หรือปวดหลังจี๊ดๆ ให้หยุดทันที แสดงว่าเราอาจทำผิดท่า หรือร่างกายยังไม่พร้อม
  3. ทำบนที่นอนแข็ง หรือเสื่อโยคะ: ห้ามทำบนที่นอนนุ่มยุบยวบยาบ

ท่าที่ 1: แขม่วท้องล็อคหลัง (Abdominal Bracing)

นี่คือท่าพื้นฐานที่สุด แต่สำคัญที่สุด! เป็นการปลุกกล้ามเนื้อชั้นลึกให้ตื่น

วิธีทำ:

  1. นอนหงาย ชันเข่าขึ้นทั้งสองข้าง วางแขนข้างลำตัว
  2. หายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลายพุง
  3. หายใจออกยาวๆ พร้อมกับ "แขม่วท้อง" กดสะดือลงหาพื้นเตียง เกร็งหน้าท้องค้างไว้ (เหมือนตอนเราจะโดนต่อยท้อง)
  4. นับ 1-10 ในใจ (ห้ามกลั้นหายใจ ให้หายใจเข้าออกตื้นๆ ขณะเกร็งท้อง)
  5. ผ่อนคลาย ทำซ้ำ 10 ครั้ง

ท่าที่ 2: สะพานโค้งก้นเด้ง (Glute Bridge)

ท่านี้ช่วยสร้างกล้ามเนื้อก้นและหลังล่าง โดยไม่ต้องก้มหลัง ปลอดภัยมากครับ

วิธีทำ:

  1. นอนหงาย ชันเข่าขึ้น กางขาเท่าช่วงไหล่
  2. เกร็งหน้าท้อง (เหมือนท่าที่ 1)
  3. ออกแรง "ขมิบก้น" แล้วค่อยๆ ยกสะโพกลอยขึ้นจากพื้น จนลำตัวเป็นเส้นตรง (เข่า-สะโพก-ไหล่)
  4. ระวัง! อย่าดันเอวสูงจนหลังแอ่น ให้ใช้แรงจากก้น
  5. ค้างไว้ 5-10 วินาที ค่อยๆ วางก้นลง
  6. ทำซ้ำ 10 ครั้ง

ท่าที่ 3: ท่าสุนัขยืดแขนขา (Bird Dog - Beginner)

ท่านี้ช่วยฝึกการทรงตัวและกล้ามเนื้อหลังมัดลึก แต่ต้องระวังอย่าแอ่นหลัง

วิธีทำ:

  1. ตั้งท่าคลานสี่ขา (มืออยู่ใต้ไหล่ เข่าอยู่ใต้สะโพก) หลังตรงขนานพื้น (ไม่แอ่น ไม่โก่ง)
  2. เกร็งหน้าท้องล็อคหลังให้นิ่ง
  3. ค่อยๆ ยก "แขนขวา" ยืดไปข้างหน้า พร้อมกับ "ขาซ้าย" เหยียดไปข้างหลัง (แขนขาคนละฝั่ง)
  4. เคล็ดลับ: ไม่ต้องยกสูง! เอาแค่ระดับลำตัวพอ ถ้าหลังแอ่นแปลว่ายกสูงไป
  5. ค้างไว้ 3-5 วินาที แล้วกลับมาท่าเดิม สลับข้าง
  6. ทำซ้ำข้างละ 5-10 ครั้ง

ท่าที่ 4: แพลงก์แบบดัดแปลง (Modified Plank on Knees)

ท่าแพลงก์ปกติอาจโหดไปสำหรับคนปวดหลัง เรามาทำแบบใช้เข่าช่วยก่อนครับ

วิธีทำ:

  1. นอนคว่ำ ใช้ศอกยันพื้น (ศอกอยู่ใต้ไหล่)
  2. ใช้เข่าเป็นจุดหมุน ยกตัวขึ้นจากพื้น ให้ไหล่ถึงเข่าเป็นเส้นตรง
  3. เกร็งหน้าท้อง ขมิบก้น (อย่าให้ก้นโด่ง หรือหลังแอ่นตกท้องช้าง)
  4. ค้างไว้เท่าที่ไหว (เริ่มจาก 10-15 วินาที) แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลา
  5. ทำซ้ำ 3-5 รอบ

บทสรุป

การออกกำลังกายสำหรับคนเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้น ไม่จำเป็นต้องหนัก หรือเหงื่อท่วมครับ หัวใจสำคัญคือ "ความถูกต้อง" และ "ความสม่ำเสมอ"

แค่คุณทำ 4 ท่านี้ทุกวัน วันละ 10-15 นาที กล้ามเนื้อแกนกลางจะแข็งแรงขึ้น เปรียบเสมือนคุณใส่ "เข็มขัดพยุงหลัง" ธรรมชาติไว้ตลอดเวลา อาการปวดหลังจะค่อยๆ ดีขึ้น และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจครับ

เริ่มวันนี้ วันละนิด ดีกว่านอนปวดอยู่เฉยๆ แน่นอนครับ หมอเอาใจช่วย!

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng

#กายภาพบำบัด #ปวดหลัง #หมอนรองกระดูกทับเส้น #ออกกำลังกายแก้ปวดหลัง #CoreStrengthening #หมอเก่งกระดูกและข้อ #DoctorKeng



ปวดร้าวลงขา! เป็น "กระดูกทับเส้น" หรือแค่ "สลักเพชรจม"? แยกให้ออกก่อนผ่าตัดฟรี!

 



ปวดร้าวลงขา! เป็น "กระดูกทับเส้น" หรือแค่ "สลักเพชรจม"? แยกให้ออกก่อนผ่าตัดฟรี!

"หมอคะ ป้าปวดก้นย้อยร้าวลงขามากเลย นั่งนานๆ ไม่ได้เลยค่ะ มันจี๊ดเหมือนไฟช็อต ไปหาหมอนวดเขาบอกว่าเป็น 'สลักเพชรจม' นวดกดจุดจนระบมไปหมดก็ไม่หาย เพื่อนบ้านบอกระวังเป็นกระดูกทับเส้นนะต้องผ่าตัด... ป้าเครียดจนนอนไม่หลับแล้วค่ะ ตกลงป้าเป็นอะไรกันแน่?"

คำถามนี้เป็น "คำถามปราบเซียน" ที่หมอเจอแทบทุกวันครับ

อาการ "ปวดร้าวลงขา" (Sciatica) เป็นเหมือนสัญญาณกันขโมยที่บอกว่า "เส้นประสาทขาของคุณกำลังถูกบีบ" ครับ แต่ประเด็นคือ... "ใครเป็นคนบีบ?"

  • ถ้าคนบีบคือ "กระดูกสันหลัง" = เรื่องใหญ่ (Herniated Disc)
  • แต่ถ้าคนบีบคือ "กล้ามเนื้อก้น" = เรื่องเล็ก (Piriformis Syndrome)

อาการมันคล้ายกันจนเหมือนฝาแฝด แต่การรักษาต่างกันราวฟ้ากับเหว

รู้จักกับเส้นทางเดินของ "สายไฟ" (Sciatic Nerve)

เส้นประสาทไซอาติก (Sciatic Nerve) คือเส้นประสาทที่ใหญ่และยาวที่สุดในร่างกายครับ

  • ต้นทาง: ออกมาจากกระดูกสันหลังส่วนเอว (L4-S3)
  • ระหว่างทาง: ลอดผ่านใต้กล้ามเนื้อก้นมัดลึก ที่ชื่อว่า "Piriformis" (กล้ามเนื้อรูปชมพู่)
  • ปลายทาง: วิ่งยาวลงไปที่ขา น่อง และเท้า

เปรียบเหมือน "สายยางรดน้ำ" ที่ต่อจากก๊อก (หลัง) ลากผ่านสนามหญ้า (ก้น) ไปหน้าบ้าน (ขา) น้ำจะไม่ไหล (ปวด/ชา) ได้จาก 2 กรณีครับ:

  1. โดนเหยียบที่ก๊อกน้ำ: คือ กระดูกสันหลังทับเส้น
  2. โดนเหยียบกลางสนามหญ้า: คือ กล้ามเนื้อก้นทับเส้น (สลักเพชรจม)

ถ้าเราเอาคนไข้ที่มีอาการ "ปวดร้าวลงขา" (Sciatica) เดินเข้ามาในคลินิก 100 คน:

  • ประมาณ 85 - 90 คน เกิดจากปัญหาที่ "หลัง" (หมอนรองกระดูกทับเส้น หรือ กระดูกสันหลังเสื่อมกดทับเส้นประสาท Radiculopathy)

  • ประมาณ 5 - 6 คน เท่านั้นที่เกิดจาก "กล้ามเนื้อสลักเพชร" (Piriformis Syndrome)

  • ส่วนที่เหลือ เกิดจากสาเหตุอื่นๆ (เช่น เนื้องอก, การติดเชื้อ, หรือโรคข้อสะโพก)

โรคที่ 1: หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (The Real Sciatica)

อันนี้คือ "ของจริง" ครับ เกิดจากความเสื่อมของหมอนรองกระดูก หรือกระดูกสันหลังที่เอว

  • จุดกำเนิด: ปวดที่ "หลังส่วนล่าง" (เอว) เป็นหลัก แล้วร้าวลงขา
  • ท่าที่แพ้ทาง: "ก้มตัว" (เช่น ก้มใส่กางเกง ก้มหยิบของ) หรือ "ไอ/จาม" แล้วสะเทือนร้าวลงขา
  • ท่านอน: มักจะชอบนอนหงายชันเข่า หรือนอนตะแคงงอตัว อาการจะดีขึ้น
  • การยกขา: ถ้านอนหงายแล้วให้คนอื่นยกขาข้างที่ปวดขึ้นตรงๆ (Straight Leg Raise) จะยกได้ไม่สูง จะปวดร้าวลงขาทันที เพราะเส้นประสาทที่หลังถูกดึงรั้ง

โรคที่ 2: สลักเพชรจม (Piriformis Syndrome)

อันนี้คือ "ตัวปลอม" หรือ "โรคเลียนแบบ" ครับ เกิดจากกล้ามเนื้อก้นชั้นลึก (Piriformis) มันตึง เกร็ง หรืออักเสบ จนไปบีบรัดเส้นประสาทที่วิ่งผ่านมัน

  • จุดกำเนิด: ปวดลึกๆ ที่ "แก้มก้น" (Buttock pain) เหมือนมีจุดกดเจ็บอยู่ข้างใน กดแล้วจี๊ด
  • ท่าที่แพ้ทาง: "นั่งนานๆ" (โดยเฉพาะเก้าอี้แข็งๆ หรือพื้น), "นั่งไขว่ห้าง", "ขับรถนาน", หรือในผู้ชายที่ชอบ "ใส่กระเป๋าสตางค์หนาๆ ไว้กระเป๋าหลัง" แล้วนั่งทับ (Wallet Neuritis)
  • การเดิน: บางคนบอกว่า "เดินแล้วสบายกว่านั่ง" (ต่างจากกระดูกทับเส้นที่เดินแล้วปวด)
  • ท่าตรวจ: ลองนั่งไขว่ห้างเป็นเลข 4 (เอาข้อเท้าข้างที่เจ็บวางบนเข่าอีกข้าง) แล้วก้มตัวลง... จะปวดตึงที่ก้นลึกๆ แทบขาดใจ!

สรุปความแตกต่างให้เห็นภาพชัดเจน

เพื่อให้จำง่ายขึ้น หมอขอสรุปแยกเป็น 2 กลุ่มอาการ ดังนี้ครับ:

กลุ่ม A: กระดูกทับเส้น (Herniated Disc)

  • จุดเริ่มปวด: เริ่มที่ "หลังเอว"
  • อาการไอ/จาม: สะเทือน "เจ็บร้าวลงขา"
  • การนั่ง: นั่งพื้นแข็งหรือนั่งนานๆ จะปวดเมื่อยหลัง
  • การเดิน: เดินไกลๆ มักจะปวดมากขึ้น หรือขาอ่อนแรง
  • สาเหตุหลัก: ยกของหนัก, ก้มผิดท่า

กลุ่ม B: สลักเพชรจม (Piriformis Syndrome)

  • จุดเริ่มปวด: เริ่มที่ "แก้มก้นลึกๆ"
  • อาการไอ/จาม: "ไม่เจ็บ"
  • การนั่ง: นั่งพื้นแข็งหรือนั่งนานๆ จะ "ปวดก้น/ขาชา" ทรมานมาก
  • การเดิน: เดินแล้วอาการอาจจะ "ดีขึ้น" (เพราะกล้ามเนื้อก้นได้ขยับคลายตัว)
  • สาเหตุหลัก: นั่งนาน, วิ่งเยอะ, นั่งไขว่ห้าง

ต้องตรวจอะไรเพิ่มไหม?

เพื่อให้ชัวร์ หมอแนะนำ:

  1. เอกซเรย์ (X-ray): ดูโครงสร้างกระดูกสันหลัง
  2. MRI: อันนี้คือ "ตาสวรรค์" ครับ แยกได้เ
    • ถ้าเห็นหมอนรองกระดูกปลิ้นกดเส้น = โรคที่ 1
    • ถ้าหลังปกติ แต่กล้ามเนื้อก้นดูบวมๆ = โรคที่ 2

แนวทางการรักษา (คนละทางเลย)

  • ถ้าเป็น "กระดูกทับเส้น": เน้นลดการกดทับที่หลัง เช่น ดึงหลัง (Traction), ปรับท่านอน, เลี่ยงการก้มยกของ, ฉีดยาโพรงประสาท หรือผ่าตัด (ถ้าจำเป็น)
  • ถ้าเป็น "สลักเพชรจม": เน้นคลายกล้ามเนื้อก้น!
    1. ยืดเหยียด (Stretching): ท่าเลข 4 (Figure 4 Stretch) คือยาขนานเอก
    2. นวด/กดจุด: ใช้ลูกเทนนิสคลึงที่แก้มก้น หรือนวดตอกเส้น (แต่ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ ไม่งั้นระบม)
    3. Shockwave: ยิงคลื่นกระแทกใส่กล้ามเนื้อก้นที่เกร็ง ให้คลายตัว
    4. ปรับพฤติกรรม: เลิกนั่งไขว่ห้าง, เอาเป๋าตังค์ออกจากกระเป๋าหลัง, หาเบาะรองนั่งนุ่มๆ

บทส่งท้ายจากใจหมอ

เห็นไหมครับว่า "อาการเหมือนกัน แต่จำเลยคนละคน" ถ้าคุณเป็นแค่ "สลักเพชรจม" แต่ไปรักษาแบบผ่าตัดกระดูกสันหลัง... นอกจากจะเจ็บตัวฟรีแล้ว อาการปวดก้นก็จะไม่หายด้วยครับ

ลองเช็คตัวเองดูเบื้องต้น ลองยืดกล้ามเนื้อก้นดู ถ้าอาการดีขึ้น คุณอาจจะโชคดีที่เป็นแค่โรคกล้ามเนื้อครับ แต่ถ้าไม่แน่ใจ แวะมาให้หมอตรวจเช็คดีกว่าครับ วินิจฉัยถูก... รักษาแป๊บเดียวก็หายครับ

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng

#สลักเพชรจม #PiriformisSyndrome #กระดูกทับเส้น #ปวดก้นร้าวลงขา #Sciatica #หมอเก่งกระดูกและข้อ #DoctorKeng