วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2567

ปวดหลัง? คุณไม่ได้อยู่คนเดียว! เคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยให้หายปวดหลังและเปลี่ยนชีวิตได้!

ปวดหลัง? คุณไม่ได้อยู่คนเดียว! เคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยให้หายปวดหลังและเปลี่ยนชีวิตได้!

หลายคนในปัจจุบันต้องเผชิญกับอาการปวดหลัง ไม่ว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศที่นั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน หรือเป็นผู้ที่มีอาการปวดจากการยกของหนัก หรือแม้แต่อายุที่มากขึ้น อาการปวดหลังเป็นสิ่งที่พบเจอได้ในทุกช่วงอายุและเป็นหนึ่งในปัญหาที่ก่อให้เกิดความรำคาญอย่างมากในชีวิตประจำวัน

ทำไมถึงปวดหลัง?

อาการปวดหลังเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งหรือยืนในท่าที่ไม่ถูกต้อง การบาดเจ็บจากการทำงานหรือออกกำลังกาย ภาวะเสื่อมของหมอนรองกระดูก และบางครั้งอาจเกี่ยวข้องกับโรคกระดูกเสื่อม หรือการที่กระดูกสันหลังถูกกดทับ ความเครียดก็สามารถเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังได้เช่นกัน

การปวดหลังไม่ใช่เรื่องที่ต้องทน!

เราสามารถบรรเทาอาการปวดหลังได้ด้วยเคล็ดลับง่ายๆ ที่ทำได้เองที่บ้าน ซึ่งจะช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และไม่ต้องรู้สึกทรมานจากอาการนี้อีกต่อไป

เคล็ดลับง่ายๆ ในการดูแลหลัง:

1. ปรับเปลี่ยนท่านั่งและยืน: การนั่งและยืนในท่าทางที่ถูกต้องมีความสำคัญมาก หากคุณทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ควรจัดโต๊ะและเก้าอี้ให้เหมาะสม และลองใช้หมอนรองหลังเพื่อช่วยรองรับกระดูกสันหลัง หรือยืนพักสักครู่ทุกๆ ชั่วโมงเพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อตึงมากเกินไป

2. ออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อ: การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีมากในการป้องกันและบรรเทาอาการปวดหลัง ควรเน้นที่การยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (core muscle) ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกสันหลังและลดความเสี่ยงของการปวดหลังได้อย่างมาก

3. ยืดเหยียดกล้ามเนื้อเป็นประจำ: ท่าทางที่ไม่ถูกต้องและการใช้งานกล้ามเนื้อในชีวิตประจำวันอาจทำให้กล้ามเนื้อตึงเครียด การยืดเหยียดเบาๆ เช่น การทำโยคะหรือพิลาทิสเป็นประจำจะช่วยให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น ลดการบาดเจ็บ และช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง

4. พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับการฟื้นฟูร่างกาย เลือกใช้หมอนและที่นอนที่เหมาะสมสำหรับการรองรับสรีระ การนอนในท่าทางที่ถูกต้องจะช่วยลดแรงกดทับที่หลังและทำให้คุณตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่น

5. ลดน้ำหนัก: น้ำหนักตัวที่เกินสามารถเพิ่มแรงกดที่กระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อ การลดน้ำหนักจะช่วยลดภาระบนหลังและช่วยลดอาการปวดได้อย่างมาก

หากอาการปวดหลังยังไม่หายไป?

ถ้าอาการปวดหลังยังคงอยู่ หรือรุนแรงขึ้น ควรพิจารณาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำปรึกษา อาจจะต้องตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง แพทย์อาจจะแนะนำการทำกายภาพบำบัด การออกกำลังกายเฉพาะจุด การฉีดยาระงับปวด หรือการรักษาอื่นๆ เพื่อบรรเทาอาการและทำให้คุณกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

ไม่จำเป็นต้องทนปวดหลังต่อไป!

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลสุขภาพที่ดีสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้ และยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการซ้ำอีก เมื่อเราดูแลสุขภาพหลังของเราอย่างถูกต้อง ทุกท่านก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ได้อีกครั้ง!

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

#ปวดหลัง #บรรเทาปวดหลัง #สุขภาพดี #วิถีชีวิตที่ดี

วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2567

การรักษาอาการปวดหลังด้วยการฉีดยาลดการอักเสบเข้าโพรงประสาทด้วยการระบุตำแหน่งด้วย ultrasound เพิ่มความแม่นยำในการรักษา

การรักษาอาการปวดหลังด้วยการฉีดยาลดการอักเสบเข้าโพรงประสาทด้วยการระบุตำแหน่งด้วย ultrasound เพิ่มความแม่นยำในการรักษา

ปัญหาปวดหลังหรือมีอาการปวด ชา ร้าวลงขา (เช่น อาการหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท) และการรักษาด้วยวิธีทั่วไปอย่างการกินยาหรือทำกายภาพบำบัดยังไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น ทางเลือกการรักษาที่ปลอดภัยและได้ผลดี นั่นก็คือ การฉีดยาเข้าโพรงประสาทด้วยเทคนิคอัลตราซาวด์ (Ultrasound Guided Epidural Injection) ร่วมกับการใช้ยาสเตียรอยด์ขนาดต่ำ ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดและการอักเสบได้อย่างตรงจุด

ทำไมต้องใช้เทคนิคอัลตราซาวด์ในการฉีดยา?

เครื่องอัลตราซาวด์จะช่วยให้แพทย์เห็นโครงสร้างกระดูกสันหลังและตำแหน่งที่จะฉีดยาเข้าไปได้ชัดเจน ทำให้ฉีดยาได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงจากการฉีดผิดตำแหน่ง เทคนิคนี้ยังปลอดภัยกว่าการใช้เครื่อง X-ray เพราะไม่ต้องสัมผัสกับรังสี

สเตียรอยด์ขนาดต่ำ ดีอย่างไร?

การใช้สเตียรอยด์ขนาดต่ำจะช่วยลดอาการอักเสบและปวดได้โดยมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการใช้ในปริมาณสูง ช่วยลดความเสี่ยงต่อผลกระทบระยะยาว เช่น กระดูกบาง หรือปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน

ขั้นตอนการรักษา

1. ผู้ป่วยจะนอนในท่าที่สะดวกเพื่อให้แพทย์สามารถหาตำแหน่งฉีดยาที่ถูกต้อง

2. แพทย์จะใช้เครื่องอัลตราซาวด์ตรวจหาตำแหน่งโพรงประสาท

3. แพทย์จะฉีดยาสเตียรอยด์ขนาดต่ำเข้าไปในโพรงประสาทอย่างแม่นยำ

4. กระบวนการนี้ใช้เวลาไม่นาน และผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ภายในวันเดียว

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

หลังฉีดยา อาการปวดจะเริ่มดีขึ้นในไม่กี่วัน และผลการรักษาอาจคงอยู่ได้นานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ทำให้คุณสามารถกลับไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ

ใครเหมาะกับการรักษานี้?

การฉีดยาเข้าโพรงประสาทเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลังเรื้อรังจากปัญหาหมอนรองกระดูกเคลื่อน ปวดหลังเฉียบพลัน กระดูกสันหลังเสื่อม หรืออาการปวดที่เกิดจากการกดทับเส้นประสาท และยังไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัด

#หมอเก่งกระดูกและข้อ #ปวดหลัง #หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท #ปวดชาร้าวลงขา

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2567

ปวดหลัง!!! ทราบหรือไม่อะไรเป็นสาเหตุ????

ปวดหลัง!!! ทราบหรือไม่อะไรเป็นสาเหตุ????

อาการปวดหลัง เป็นปัญหาที่หลายคนเจอกันบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นวัยทำงาน วัยรุ่น หรือผู้สูงอายุ ก็มักจะประสบปัญหานี้กันบ่อย ซึ่งสาเหตุของอาการปวดหลังนั้นมีหลายอย่าง แต่ที่เจอกันมาก ๆ ก็มีอยู่ไม่กี่ข้อ ลองมาดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง และบางอย่างเราสามารถป้องกันได้เองง่าย ๆ

1. ท่าทางที่ไม่ถูกต้องในชีวิตประจำวัน

ใครจะไปคิดว่าแค่การนั่งทำงานนาน ๆ หรือยกของผิดท่าจะส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังได้จริง ๆ! การนั่งผิดท่า หรือนั่งอยู่ท่าเดียวตลอดวัน จะทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องรับน้ำหนักมากเกินไป และอาจทำให้กระดูกสันหลังเสื่อมได้ ดังนั้นหากนั่งทำงานนาน ๆ อย่าลืมเปลี่ยนท่าบ้าง หรือลุกขึ้นเดินไปมาสักพักนะครับ

2. การบาดเจ็บจากการออกกำลังกายหรืออุบัติเหตุ

หลายคนที่ชอบออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬา อาจเคยมีประสบการณ์ปวดหลังกันมาบ้าง เพราะบางครั้งเราใช้แรงมากเกินไป หรือท่าทางการออกกำลังกายไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ การเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ เช่น การล้ม หรือการขับรถชน ก็ทำให้เกิดการบาดเจ็บที่หลังได้เหมือนกันครับ

3. หมอนรองกระดูกเสื่อม

เมื่อเราอายุมากขึ้น หมอนรองกระดูกสันหลังที่ทำหน้าที่รับแรงระหว่างกระดูกก็จะเริ่มเสื่อมสภาพ ทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ โดยเฉพาะในคนที่ทำงานหนักหรือใช้งานหลังมากเป็นเวลานาน ดังนั้นการดูแลหลังให้ดีตั้งแต่วันนี้เป็นเรื่องสำคัญนะครับ

4. ความเครียดสะสม

ฟังดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกัน แต่ความเครียดส่งผลต่อกล้ามเนื้อหลังและไหล่ได้ครับ เวลาที่เรารู้สึกเครียด กล้ามเนื้อเหล่านี้จะตึงตัว ทำให้เรารู้สึกปวดเมื่อยที่หลังได้ง่ายขึ้น ใครที่เครียดจากงานหรือปัญหาต่าง ๆ ลองหาวิธีผ่อนคลายดูบ้างนะครับ

5. กระดูกสันหลังคดหรือผิดรูป

บางคนเกิดมาพร้อมกับกระดูกสันหลังคดหรือผิดรูป ทำให้ต้องทนกับอาการปวดหลังตั้งแต่เด็ก แต่บางครั้งเราอาจไม่รู้ตัวจนกว่าจะโต ซึ่งหากมีอาการปวดหลังเรื้อรัง ก็ควรไปตรวจสุขภาพหลังเพื่อป้องกันอาการที่แย่ลงครับ

6. การนอนหลับที่ไม่ถูกสุขลักษณะ

การนอนมีผลมากต่ออาการปวดหลัง เตียงที่นิ่มเกินไปหรือแข็งเกินไปทำให้หลังของเราอยู่ในท่าทางที่ไม่ดี ทำให้ตื่นมาแล้วรู้สึกปวดหลัง นอกจากนี้การนอนผิดท่าก็มีผลด้วยครับ ดังนั้นเลือกเตียงและหมอนที่รองรับสรีระได้ดี และพยายามนอนในท่าที่ถูกต้องจะช่วยลดอาการปวดหลังได้

สรุปสั้น ๆ

การป้องกันอาการปวดหลังสามารถทำได้ง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับพฤติกรรมในการทำงานหรือกิจวัตรประจำวัน เช่น นั่งให้ถูกท่า ออกกำลังกายเพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลัง และพักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าเริ่มปวดหลังบ่อย ๆ อย่าลืมสังเกตพฤติกรรมของตัวเอง และถ้าปวดมาก ๆ ก็อย่าลืมมาพบแพทย์นะครับ จะได้ตรวจดูว่ามีปัญหาสุขภาพหลังที่ร้ายแรงหรือเปล่า

การดูแลหลังเป็นเรื่องสำคัญ อย่าลืมใส่ใจสุขภาพของตัวเองกันนะครับ!

#สุขภาพหลังดีชีวิตก็ดี #ปวดหลังต้องรู้ #หมอเก่งกระดูกและข้อ #สาเหตุปวดหลัง

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2567

การออกกำลังกายที่ควรหลีกเลี่ยงถ้าคุณมีอาการปวดหลัง พร้อมทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า

การออกกำลังกายที่ควรหลีกเลี่ยงถ้าคุณมีอาการปวดหลัง พร้อมทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า

ปวดหลังแต่อยากออกกำลังกาย? มาดูกันว่ามีการออกกำลังกายแบบไหนที่ต้องระวัง และมีทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับคนปวดหลัง 💪 สุขภาพดีได้โดยไม่ต้องทนปวดหลัง!

หลายคนอยากออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี แต่ถ้าคุณมีอาการปวดหลัง การออกกำลังกายบางประเภทอาจทำให้อาการแย่ลงได้นะครับ มาดูกันว่ามีการออกกำลังกายแบบไหนที่ควรหลีกเลี่ยง และมีทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าสำหรับคนที่มีปัญหาปวดหลัง

การออกกำลังกายที่ควรหลีกเลี่ยง

1. ยกน้ำหนักแบบก้มหลัง

การยกน้ำหนักในท่าที่ก้มหลังหรือใช้หลังมากเกินไป เช่น Deadlift หรือ Squat ที่หนักเกินไป อาจทำให้กล้ามเนื้อหลังเกิดการบาดเจ็บและปวดหนักขึ้น

ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า: ลองลดน้ำหนักหรือใช้เครื่องออกกำลังกายที่รองรับหลังได้ เช่น เครื่อง Leg Press หรือทำท่า Squat ด้วยน้ำหนักตัวโดยไม่ต้องใช้น้ำหนักเสริม

2. กระโดดสูงหรือการวิ่งบนพื้นแข็ง

การกระโดดสูงหรือวิ่งบนพื้นแข็งอาจเพิ่มแรงกระแทกที่กระดูกสันหลัง ทำให้ปวดหลังมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับหมอนรองกระดูก

ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า: ลองออกกำลังกายที่ลดแรงกระแทก เช่น การเดินเร็วหรือปั่นจักรยานบนพื้นเรียบ หรือใช้เครื่อง Elliptical ที่ช่วยลดแรงกระแทกได้

3. การบิดตัวอย่างแรงในการออกกำลังกาย

การออกกำลังกายที่มีการบิดตัวแรง ๆ เช่น การเล่นกีฬาที่ต้องหมุนตัวอย่างรวดเร็ว (เทนนิส, กอล์ฟ) อาจทำให้กล้ามเนื้อหลังเกร็งและปวดมากขึ้น

ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า: ลองทำการยืดกล้ามเนื้อหรือโยคะที่เน้นการเคลื่อนไหวช้า ๆ และสมดุล ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายและเพิ่มความยืดหยุ่นโดยไม่กระทบต่อหลัง

4. ท่า Sit-up หรือ Crunch ที่ผิดท่า

หลายคนชอบออกกำลังกายหน้าท้องด้วยท่า Sit-up หรือ Crunch แต่ถ้าทำผิดท่า หรือทำบนพื้นแข็ง ๆ อาจทำให้หลังส่วนล่างเกิดการบาดเจ็บได้

5. การออกกำลังกายที่ต้องยกขาสูงซ้ำ ๆ

ท่าที่ต้องยกขาสูงซ้ำ ๆ อย่างท่า Leg Raise บางครั้งอาจทำให้หลังส่วนล่างเกิดการตึงและเจ็บได้

สรุป

การออกกำลังกายมีประโยชน์มากสำหรับสุขภาพ แต่สำหรับคนที่มีอาการปวดหลัง การเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ หากเลือกไม่ถูกอาจทำให้อาการแย่ลงได้ แต่ถ้าเราเลือกทางเลือกที่ปลอดภัย จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นโดยไม่กระทบกับหลังของเรา หมั่นออกกำลังกายอย่างถูกต้องและรักษาหลังให้ดี เพื่อชีวิตที่แข็งแรงและปราศจากอาการปวดครับ

#ปวดหลัง #ออกกำลังกายปลอดภัย #สุขภาพหลังดี #ดูแลหลังด้วยตัวเอง

#ปวดหลัง #ออกกำลังกายอย่างถูกวิธี #สุขภาพดี”

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2567

รู้ไหม? การออกกำลังกายบางแบบอาจทำให้ปวดหลังมากขึ้น!!!

รู้ไหม? การออกกำลังกายบางแบบอาจทำให้ปวดหลังมากขึ้น!!!

อยากออกกำลังกายแต่กลัวหลังยิ่งปวด? มาดูกันว่าท่าไหนที่ทำให้ปวดหลังมากขึ้น จะได้เลี่ยงก่อนที่จะเผลอทำร้ายหลังตัวเอง! #ปวดหลังต้องระวัง #ออกกำลังกายอย่างถูกวิธี #ดูแลหลังให้ดี”

อาการปวดหลังเป็นปัญหาที่หลายคนต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นวัยทำงานหรือผู้สูงอายุ การออกกำลังกายถือเป็นวิธีหนึ่งที่ดีในการบรรเทาและป้องกันอาการปวดหลัง แต่… อย่าลืมว่าการออกกำลังกายบางประเภทหรือการทำท่าผิดๆ อาจทำให้อาการปวดหลังของคุณยิ่งแย่ลงไปอีก! วันนี้เรามีลิสต์กิจกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง ถ้าคุณไม่อยากให้หลังปวดหนักขึ้นมาฝากกัน!

1. ยกน้ำหนักแบบก้มหลัง

การยกน้ำหนักสามารถช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้ แต่หากยกของหนักโดยก้มหลัง จะสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อกระดูกสันหลัง โดยเฉพาะถ้าคุณยกของในท่าที่ผิด เช่น ก้มลงยกของจากพื้นโดยไม่ได้ย่อตัวหรือใช้กล้ามเนื้อขา การทำเช่นนี้อาจทำให้หมอนรองกระดูกเกิดการกดทับ หรือทำให้เส้นประสาทถูกกดทับได้ วิธีที่ถูกต้องคือ ย่อตัวลงยก และพยายามรักษาหลังให้ตรง ใช้กำลังจากขาแทนที่จะใช้หลังโดยตรง

2. การออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกสูง (High-impact exercise)

กิจกรรมที่ต้องกระโดดหรือวิ่ง เช่น การวิ่งมาราธอน, การเล่นบาสเกตบอล หรือการกระโดดเชือก สามารถสร้างแรงกดดันต่อกระดูกสันหลังได้ โดยเฉพาะในกรณีที่คุณมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลังอยู่แล้ว การออกกำลังกายเหล่านี้อาจทำให้อาการปวดหลังแย่ลง ทางที่ดีควรเลือกออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกต่ำ เช่น การเดินเร็ว, การว่ายน้ำ, หรือการปั่นจักรยาน ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันที่หลังและยังคงรักษาความฟิตได้เหมือนกัน

3. ซิทอัพแบบผิดวิธี

ซิทอัพเป็นท่าที่หลายคนเลือกใช้เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้อง แต่หากทำผิดวิธี เช่น งอตัวมากเกินไป หรือใช้แรงจากหลังส่วนล่างแทนที่จะเป็นกล้ามเนื้อหน้าท้อง อาจทำให้กล้ามเนื้อหลังบาดเจ็บได้ แนะนำให้ปรับมาใช้ท่า Plank ซึ่งไม่กดดันกระดูกสันหลัง แต่ยังได้ผลดีในการเสริมสร้างแกนกลางลำตัว

4. โหนบาร์แบบหักโหม

การโหนบาร์หรือดึงข้อ (Pull-ups) ช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแขนและหลังส่วนบนได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าคุณทำมากเกินไป หรือทำโดยที่กล้ามเนื้อหลังส่วนล่างอ่อนแอ อาจเกิดอาการเกร็งที่กล้ามเนื้อและทำให้ปวดหลังได้ ควรฝึกค่อยๆ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างก่อนที่จะไปโหนบาร์อย่างจริงจัง

5. วิดพื้นแบบผิดท่า

การวิดพื้นเป็นท่าออกกำลังกายที่สามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน แต่หากทำท่าผิด เช่น การกดหลังลงมากเกินไปหรือไม่รักษาระดับของลำตัวให้ตรง จะเพิ่มแรงกดที่หลังส่วนล่างจนทำให้ปวดหลัง แนะนำให้ระมัดระวังการจัดท่าทางให้ถูกต้อง คือ ลำตัวต้องเป็นเส้นตรงจากหัวจรดเท้า และไม่งอหลังเวลาทำท่าวิดพื้น

6. การนั่งปั่นจักรยานเป็นเวลานาน

การปั่นจักรยานเป็นกิจกรรมที่ดีสำหรับการออกกำลังกายแบบแรงกระแทกต่ำ แต่ถ้าคุณนั่งปั่นจักรยานในท่าที่งอตัวไปข้างหน้าหรือนั่งนานเกินไป จะเพิ่มแรงกดดันที่กระดูกสันหลังส่วนล่าง หากคุณปั่นเป็นเวลานาน ให้ปรับเบาะให้สูงพอดี และพยายามยืดตัวให้หลังตรงระหว่างการปั่นเพื่อป้องกันอาการปวดหลัง

สรุป:

ไม่ว่าคุณจะมีอาการปวดหลังหรือไม่ การออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำเป็นประจำ แต่ต้องทำอย่างถูกวิธีและระมัดระวัง อย่าลืมว่าท่าทางที่ผิดอาจทำให้อาการปวดหลังรุนแรงขึ้นได้ การปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัดก่อนเริ่มออกกำลังกาย สามารถช่วยให้คุณทำได้อย่างปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2567

ปวดหลัง!!!! : หมอนรองกระดูกเคลื่อน VS มะเร็งลุกลามมาที่กระดูกสันหลัง?

ปวดหลัง!!!! : หมอนรองกระดูกเคลื่อน VS มะเร็งลุกลามมาที่กระดูกสันหลัง?

หลายคนคงเคยเจออาการปวดหลังกันมาบ้างใช่ไหมครับ?

อาการปวดหลังสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งบางครั้งอาจเป็นแค่อาการปวดกล้ามเนื้อจากการทำงานหนัก แต่บางครั้งก็อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ใหญ่กว่านั้น อย่างเช่น หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท หรือที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นก็คือ มะเร็งที่ลุกลามมาที่กระดูกสันหลัง

วันนี้เรามาดูกันว่าทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันยังไงบ้างครับ!

หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท

หมอนรองกระดูกเป็นตัวช่วยรองรับแรงกระแทกระหว่างกระดูกสันหลัง แต่เมื่อมันเคลื่อนตัวไปกดทับเส้นประสาท จะทำให้เกิดอาการปวดที่เราไม่สามารถทนได้

• ลักษณะอาการปวด: ปวดแบบแหลมคม ร้าวไปตามแนวเส้นประสาท โดยเฉพาะปวดร้าวลงขาหรือแขน ถ้าคุณขยับตัวมาก ๆ ก็จะปวดมากขึ้น

• อาการอื่น ๆ ที่มักเกิดร่วม: อาจรู้สึกชา เหมือนมีกล้ามเนื้ออ่อนแรง บางครั้งรู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่ม ๆ

• ส่วนใหญ่พบที่: บริเวณเอวหรือคอ

• การรักษา: ถ้าไม่รุนแรงมาก การพักผ่อน กายภาพบำบัด และทานยาแก้ปวดก็ช่วยได้ ฉีดยาเข้าโพรงประสาทเพื่อลดการอักเสบ ในกรณีที่รุนแรงมาก ๆ อาจต้องผ่าตัด

มะเร็งลุกลามมาที่กระดูกสันหลัง

มะเร็งที่กระจายมายังกระดูกสันหลังมักมาจากมะเร็งที่เกิดในอวัยวะอื่นแล้วลุกลามมาที่กระดูก ทำให้เกิดอาการปวดอย่างต่อเนื่อง และมักจะแย่ลงเรื่อย ๆ

• ลักษณะอาการปวด: ปวดตื้อ ๆ หรือปวดคม ๆ ที่ไม่หายแม้ว่าจะนอนพักผ่อนแล้วก็ตาม โดยเฉพาะเวลากลางคืนจะปวดมากขึ้น

• อาการอื่น ๆ ที่มักเกิดร่วม: น้ำหนักลด อ่อนเพลีย และบางครั้งอาจมีปัญหาเรื่องระบบประสาท เช่น ชาหรือควบคุมการขับถ่ายไม่ได้

• ส่วนใหญ่พบที่: กระดูกสันหลังส่วนอกหรือเอว

• การรักษา: มักจะรักษาด้วยการฉายแสง เคมีบำบัด หรือการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับระยะและชนิดของมะเร็ง

สรุปความแตกต่าง

หมอนรองกระดูกเคลื่อนจะทำให้เราปวดแบบเฉียบพลันเมื่อขยับตัว อาจปวดร้าวลงไปที่แขนหรือขา ในขณะที่อาการปวดจากมะเร็งจะปวดแบบต่อเนื่อง ไม่ว่าคุณจะพักผ่อนแค่ไหนก็ยังปวดอยู่ และมักจะรุนแรงขึ้นในตอนกลางคืน

ถ้าคุณรู้สึกว่าปวดหลังมากขึ้นเรื่อย ๆ น้ำหนักลด อ่อนเพลีย หรือมีปัญหาควบคุมการขับถ่าย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คให้แน่ใจครับ

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2567

ขับรถนานๆ แล้วปวดหลัง?

ขับรถนานๆ แล้วปวดหลัง?

รู้ไหมว่า ท่านั่งที่ไม่ถูกต้องและการไม่พักเป็นระยะๆ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คุณต้องเจอปัญหานี้! มาปรับวิธีขับรถและดูแลสุขภาพหลังของเรากันดีกว่า ขับปลอดภัย หลังสบายทุกเส้นทาง

หลายคนคงเคยมีประสบการณ์กับการขับรถเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไกลหรือการติดอยู่ในจราจรที่แน่นขนัด แต่สิ่งที่ไม่พึงประสงค์มักจะเกิดขึ้นตามมาคือ อาการปวดหลังที่ทำให้การเดินทางของคุณไม่สนุกอย่างที่ควรจะเป็น การขับรถนานๆ ทำไมถึงทำให้เกิดอาการปวดหลัง? และเราจะป้องกันได้อย่างไร? มาหาคำตอบกัน

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังจากการขับรถนานๆ

1. ท่านั่งที่ไม่ถูกต้อง: การนั่งในท่าที่ไม่ถูกต้อง เช่น การโน้มตัวไปข้างหน้าหรือการนั่งงอหลัง ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนักเกินไป นอกจากนี้ยังทำให้แรงกดทับบนกระดูกสันหลังมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง

2. การขาดการเคลื่อนไหว: การขับรถเป็นเวลานานทำให้ร่างกายอยู่ในท่าเดิมๆ ต่อเนื่องโดยไม่ได้เคลื่อนไหว ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อเกิดความตึงเครียด ส่งผลให้อาการปวดหลังแสดงออกมาอย่างชัดเจน

3. เบาะนั่งที่ไม่รองรับกระดูกสันหลัง: บางครั้งเบาะนั่งรถยนต์ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับสรีระของเราอย่างเหมาะสม ทำให้กระดูกสันหลังไม่ได้รับการรองรับที่ดี และนำไปสู่อาการปวดหลังในที่สุด

4. ความเครียด: การขับรถในสภาพจราจรที่หนาแน่นหรือการเดินทางไกลอาจทำให้เกิดความเครียด ซึ่งมีผลกระทบต่อกล้ามเนื้อในร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหลังและไหล่ ทำให้เกิดอาการปวด

วิธีป้องกันอาการปวดหลังจากการขับรถนานๆ

1. ปรับท่านั่งให้ถูกต้อง: พยายามนั่งให้หลังตรง ไม่โน้มตัวไปข้างหน้า และใช้พนักพิงที่รองรับกระดูกสันหลังส่วนล่างได้ดี หากเบาะนั่งไม่รองรับ ให้ใช้หมอนรองหลังเพิ่มเติม

2. พักบ่อยๆ: ทุกๆ 1-2 ชั่วโมง ควรจอดพักเพื่อลุกขึ้นยืดเหยียดกล้ามเนื้อและผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลัง เพื่อลดความตึงเครียด

3. ปรับเบาะนั่ง: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเบาะนั่งอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมกับความสูงของคุณ และให้ขาคุณสามารถแตะถึงพื้นได้เต็มที่ โดยไม่ต้องเขย่งหรือก้มตัว

4. จัดวางอุปกรณ์ภายในรถให้เหมาะสม: ให้พวงมาลัยและกระจกมองหลังอยู่ในตำแหน่งที่คุณสามารถใช้งานได้สะดวกโดยไม่ต้องหมุนหรือบิดตัวบ่อยๆ

5. ทำสมาธิและผ่อนคลาย: หากคุณต้องขับรถในสภาพที่เครียด พยายามหายใจลึกๆ และทำสมาธิเพื่อผ่อนคลายจิตใจ ซึ่งจะช่วยลดความเครียดและป้องกันอาการปวดหลังได้

การขับรถนานๆ อาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถดูแลสุขภาพหลังของเราได้โดยการปรับท่านั่งให้ถูกต้อง พักเป็นระยะ และจัดสภาพแวดล้อมภายในรถให้เหมาะสม เพื่อให้การเดินทางของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่มีอาการปวดหลังตามมา

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

#ปวดหลังจากขับรถ #สุขภาพหลังดีไม่มีปวด #หมอเก่งกระดูกและข้อ #ปวดหลัง

กระดูกพรุน… ภัยเงียบที่อาจทำให้กระดูกสันหลังยุบและปวดหลังอย่างรุนแรง

“กระดูกพรุน… ภัยเงียบที่อาจทำให้กระดูกสันหลังยุบและปวดหลังอย่างรุนแรง”

“รู้หรือไม่? กระดูกพรุนสามารถทำให้กระดูกสันหลังยุบและเกิดอาการปวดหลังได้ มาเรียนรู้และป้องกันก่อนจะสายเกินไป!”

โรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่กระดูกของเราบางลงและอ่อนแอลง เมื่อเวลาผ่านไป กระดูกของเราจะมีความหนาแน่นลดลง ซึ่งทำให้มันเปราะบางและหักได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงที่หมดประจำเดือนเร็วหรือมีอายุ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่พบโรคนี้ได้มากที่สุด

กระดูกสันหลังและโรคกระดูกพรุน

เมื่อเราเป็นโรคกระดูกพรุน กระดูกสันหลังของเราก็จะอ่อนแอลงด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดกระดูกสันหลังยุบตัวได้ โดยปกติแล้ว ถ้าโรคกระดูกพรุนไม่ได้ทำให้กระดูกยุบ เราจะไม่รู้สึกปวดหลังเลย แต่ถ้ากระดูกสันหลังเริ่มยุบตัวลง จะทำให้เกิดอาการปวดหลังอย่างรุนแรงทันที ซึ่งเป็นสัญญาณที่เราไม่ควรมองข้าม

การที่กระดูกสันหลังยุบไม่ได้เป็นแค่เรื่องของความเจ็บปวดเท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้รูปร่างของเราผิดปกติได้ เช่น หลังค่อม หรือการสูญเสียความสูง ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นใจและการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการเกิดกระดูกพรุนและกระดูกยุบ?

ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนเร็ว หรือมีอายุเกิน 65 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนมากที่สุด นอกจากนี้ คนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย หรือลดน้ำหนักมากเกินไป ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคนี้ได้เช่นกัน

วิธีป้องกันกระดูกพรุนและกระดูกสันหลังยุบ

แม้ว่าโรคกระดูกพรุนจะน่ากลัว แต่เราสามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลตัวเอง ดังนี้:

• รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง เช่น นม, ปลาตัวเล็กที่กินได้ทั้งกระดูก, และผักใบเขียว

• ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการเดิน การยกน้ำหนักเบา และการทำกิจกรรมที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก

• หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ซึ่งจะทำให้กระดูกของเราอ่อนแอลง

• ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะการตรวจความหนาแน่นของกระดูก ซึ่งจะช่วยให้เรารู้ตัวเร็วถ้ามีความเสี่ยงต่อโรคนี้

สรุป

โรคกระดูกพรุนเป็นภัยเงียบที่เราไม่ควรละเลย ถ้าเรารู้ตัวและดูแลตัวเองดีๆ เราก็จะสามารถป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกสันหลังยุบและอาการปวดหลังได้ อย่ารอให้สายเกินไป รีบเริ่มต้นดูแลกระดูกของคุณวันนี้เพื่ออนาคตที่แข็งแรงและมีความสุข!

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru