วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ปวดหลังหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท นอนคว่ำ VS นอนหงาย??

ปวดหลังหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท นอนคว่ำ VS นอนหงาย??

หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท: ควรนอนท่าไหนดี?

อาการหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาทเป็นภาวะที่พบได้บ่อยและทำให้เกิดอาการปวดหลังที่รุนแรง โดยเฉพาะในบริเวณหลังส่วนล่างที่อาจร้าวไปถึงขาและส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวัน การเลือกท่านอนที่เหมาะสมสามารถช่วยลดอาการปวดและป้องกันไม่ให้อาการแย่ลง ในบทความนี้ เราจะมาทำความเข้าใจว่าท่านอนหงายและนอนคว่ำมีผลอย่างไรต่อผู้ที่มีภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท

หลักการของการเลือกท่านอน

1. การนอนหงาย:

• ลดการกดทับเส้นประสาท: ท่านอนหงายช่วยให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวตรงมากขึ้น ลดการแอ่นและการกดทับของเส้นประสาท โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากมีหมอนหนุนใต้เข่าเพื่อช่วยลดแรงกดบริเวณหลังส่วนล่าง

• ผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลัง: ท่านอนหงายช่วยให้กล้ามเนื้อหลังได้ผ่อนคลาย ลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อที่อาจเป็นผลจากการอักเสบหรือตึงเครียดของกล้ามเนื้อที่พยายามรับภาระของกระดูกสันหลัง

2. การนอนคว่ำ:

• ข้อจำกัด: ท่านอนคว่ำอาจไม่เหมาะสมกับผู้ที่มีภาวะหมอนรองกระดูกเคลื่อนกดทับเส้นประสาท เนื่องจากท่านี้ทำให้กระดูกสันหลังแอ่นขึ้น ซึ่งอาจเพิ่มแรงกดทับต่อหมอนรองกระดูกและเส้นประสาทได้

• กรณีที่ใช้ในกายภาพบำบัด: ในบางครั้งนักกายภาพบำบัดอาจแนะนำให้ผู้ป่วยนอนคว่ำเพื่อใช้ในการยืดเหยียดหรือออกกำลังกายเฉพาะทาง ซึ่งต้องทำอย่างระมัดระวังและอยู่ภายใต้การควบคุมของผู้เชี่ยวชาญ โดยนักกายภาพอาจใช้หมอนหรืออุปกรณ์รองใต้ท้องหรือกระดูกเชิงกรานเพื่อจัดท่าทางให้เหมาะสม ลดการแอ่นของกระดูกสันหลัง

แนะนำท่านอนสำหรับผู้มีภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท

สำหรับผู้ที่มีภาวะหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท ท่านอนหงาย ถือเป็นท่าที่เหมาะสมที่สุด โดยควรหนุนหมอนที่ใต้เข่าให้ขาสูงขึ้นเล็กน้อยเพื่อลดแรงกดบนกระดูกสันหลัง นอกจากนี้ ผู้ป่วยสามารถนอนตะแคงข้างโดยหนีบหมอนไว้ระหว่างขาทั้งสองข้าง เพื่อช่วยให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวที่สบายและไม่เพิ่มแรงกดทับเส้นประสาท

สรุป

การเลือกท่านอนที่เหมาะสมมีผลอย่างมากต่ออาการปวดหลังสำหรับผู้ที่มีหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนกดทับเส้นประสาท การนอนหงายหรือนอนตะแคงพร้อมหนุนหมอนให้เหมาะสมจะช่วยลดแรงกดทับและช่วยให้คุณพักผ่อนได้อย่างสบายยิ่งขึ้น อย่าลืมปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเพื่อรับคำแนะนำเฉพาะที่เหมาะสมกับตัวคุณ

หากใครกำลังประสบปัญหาปวดหลัง อย่าลังเลที่จะขอคำปรึกษาจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ หรือนัดหมายกับกายภาพบำบัดเพื่อรับคำแนะนำในการจัดท่าทางที่เหมาะสม และเรียนรู้วิธีออกกำลังกายเบา ๆ ที่ช่วยบรรเทาอาการปวด

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ผลกระทบของน้ำหนักตัวต่ออาการปวดหลัง: ทำไมเราต้องใส่ใจน้ำหนักเพื่อสุขภาพหลังที่ดี?

ผลกระทบของน้ำหนักตัวต่ออาการปวดหลัง: ทำไมเราต้องใส่ใจน้ำหนักเพื่อสุขภาพหลังที่ดี?

อาการปวดหลังเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในทุกช่วงวัย แต่คุณรู้หรือไม่ว่า น้ำหนักตัวของเราเอง เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังที่หลายคนมองข้าม? ถ้าคุณเคยสงสัยว่า “น้ำหนักตัวเกี่ยวข้องกับการปวดหลังอย่างไร?” บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจถึงความเชื่อมโยงระหว่างน้ำหนักตัวและสุขภาพของหลัง พร้อมทั้งให้คำแนะนำว่าควรทำอย่างไรเพื่อดูแลตัวเองให้ห่างไกลจากอาการปวดหลังที่เกิดจากน้ำหนักเกิน

น้ำหนักตัวและกระดูกสันหลัง: พี่น้องที่ต้องไปด้วยกัน

ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจว่ากระดูกสันหลังของเราเป็นโครงสร้างหลักที่รับน้ำหนักตัวและช่วยให้เรายืน เดิน และเคลื่อนไหวได้อย่างสมดุล เมื่อเรามีน้ำหนักมากขึ้น กระดูกสันหลังก็ต้องรับภาระมากขึ้นตามไปด้วย ยิ่งน้ำหนักมาก ภาระที่กระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อรอบๆ ต้องแบกรับก็ยิ่งสูงขึ้น และสิ่งนี้เป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่ทำให้คนที่มีน้ำหนักตัวมากเกิดอาการปวดหลังบ่อยครั้ง

การที่น้ำหนักตัวกดทับกระดูกสันหลังเป็นเวลานานๆ จะทำให้ หมอนรองกระดูกสันหลัง ซึ่งทำหน้าที่เป็นเบาะรองรับแรงกระแทกเสื่อมสภาพหรือถูกกดทับมากกว่าปกติ หมอนรองกระดูกที่เสื่อมลงอาจก่อให้เกิดอาการปวดหลังได้ โดยเฉพาะเมื่อเรามีกิจกรรมที่ต้องใช้หลังมากๆ เช่น การยกของหนัก การนั่งทำงานนานๆ หรือลักษณะการทำงานที่ต้องใช้แรงกายตลอดวัน

น้ำหนักเกินและโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง

ไม่เพียงแต่เรื่องของน้ำหนักที่มากจะเพิ่มโอกาสเกิดอาการปวดหลัง แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลังหลายอย่าง เช่น

1. หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (Herniated Disc): เมื่อเรามีน้ำหนักตัวมาก หมอนรองกระดูกจะถูกกดทับมากขึ้น ทำให้หมอนรองกระดูกเสื่อมเร็วและมีโอกาสที่หมอนรองกระดูกจะเคลื่อนตัวหรือฉีกขาด จนเกิดการกดทับเส้นประสาท ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังอย่างรุนแรง ซึ่งอาจลามไปถึงอาการปวดขาหรือชาที่ขา

2. ข้อเสื่อม (Osteoarthritis): ข้อสันหลังของเราทำหน้าที่เหมือนจุดเชื่อมต่อของกระดูก ถ้าน้ำหนักตัวมาก ข้อต่างๆ ต้องรับน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป กระดูกอ่อนในข้อต่ออาจเสื่อมสภาพ ทำให้เกิดการเสียดสีระหว่างกระดูก ส่งผลให้เกิดอาการปวดและข้ออักเสบ

3. กล้ามเนื้ออักเสบ: น้ำหนักตัวที่มากจะทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อช่วยพยุงร่างกายให้เคลื่อนไหวได้ การทำงานหนักเกินไปของกล้ามเนื้ออาจนำไปสู่การอักเสบหรือบาดเจ็บในระยะยาว

น้ำหนักตัวกับท่าทาง: พฤติกรรมที่ควรใส่ใจ

คุณเคยสังเกตไหมว่า เมื่อเรามีน้ำหนักตัวมากขึ้น มักจะเปลี่ยนลักษณะท่าทางการเดิน การยืน หรือการนั่งโดยไม่รู้ตัว? การที่มีน้ำหนักเกินอาจทำให้ท่าทางของเราเสียสมดุล ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนักขึ้นเพื่อพยุงตัวเองให้ตรง ตัวอย่างเช่น

• การนั่งผิดท่า: น้ำหนักตัวที่มากทำให้บางคนเอนหลังไปข้างหน้า หรือบางคนจะนั่งตัวค่อมโดยไม่รู้ตัว ซึ่งท่านั่งเหล่านี้สร้างแรงกดดันต่อกล้ามเนื้อและหมอนรองกระดูกสันหลังเป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการปวดหลัง

• การเดินที่ผิดท่า: คนที่มีน้ำหนักเกินอาจมีการเดินที่ผิดปกติ เช่น การเดินหลังค่อมหรือการเดินด้วยการกดน้ำหนักลงที่ส้นเท้ามากเกินไป ท่าเดินที่ผิดเหล่านี้อาจทำให้เกิดการเคลื่อนตัวของกระดูกและหมอนรองกระดูกสันหลังผิดทิศทางได้

การลดน้ำหนักช่วยลดอาการปวดหลังได้จริงหรือ?

คำตอบคือ ใช่ การลดน้ำหนักเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพในการลดอาการปวดหลัง การที่เราสามารถลดน้ำหนักลงจะช่วยลดแรงกดที่กระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูก ซึ่งเป็นการลดภาระที่กระดูกและกล้ามเนื้อต้องแบกรับ เมื่อกล้ามเนื้อและกระดูกสันหลังไม่ต้องทำงานหนักเกินไป อาการปวดหลังก็จะลดลงตามไปด้วย

ไม่เพียงแต่การลดน้ำหนักจะช่วยลดอาการปวดหลังเท่านั้น แต่ยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดโรคที่เกี่ยวกับกระดูกสันหลังในอนาคตอีกด้วย เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทและข้อเสื่อม

แนวทางการดูแลตัวเองเพื่อลดความเสี่ยงอาการปวดหลังจากน้ำหนักเกิน

หากคุณเริ่มรู้สึกว่าอาการปวดหลังเริ่มกวนใจและน้ำหนักตัวเป็นปัจจัยสำคัญ ต่อไปนี้เป็นคำแนะนำที่ช่วยลดอาการปวดหลังและดูแลสุขภาพหลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ:

1. ลดน้ำหนักอย่างค่อยเป็นค่อยไป: การลดน้ำหนักไม่ควรทำอย่างรวดเร็ว แต่ควรเน้นการลดน้ำหนักอย่างสม่ำเสมอด้วยการควบคุมอาหารและออกกำลังกายที่เหมาะสม เช่น การเดินเร็ว การว่ายน้ำ หรือโยคะ ซึ่งจะช่วยลดภาระให้กับกระดูกสันหลังและเพิ่มความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ

2. ออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อหลัง: การเสริมสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อหลังและแกนกลางลำตัว (Core Muscles) จะช่วยให้กล้ามเนื้อสามารถรับน้ำหนักได้ดีขึ้น และลดแรงกดที่กระดูกสันหลัง เช่น การทำ Plank หรือท่ากายบริหารที่เน้นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อหลัง

3. ปรับท่าทางในชีวิตประจำวัน: ควรใส่ใจท่าทางการนั่ง ยืน และเดินให้ถูกต้อง เพื่อป้องกันการกดทับและความเครียดที่มากเกินไปในกระดูกสันหลัง เช่น การนั่งหลังตรง การยืนและเดินด้วยการกระจายน้ำหนักให้สมดุล

4. หลีกเลี่ยงการยกของหนักผิดท่า: การยกของหนักควรใช้กล้ามเนื้อขาในการรับน้ำหนักแทนที่จะใช้หลัง เพราะการยกของหนักผิดท่าจะเพิ่มแรงกดที่หมอนรองกระดูกและกล้ามเนื้อหลังอย่างมาก

สรุป

น้ำหนักตัวเป็นปัจจัยที่มีผลกระทบต่ออาการปวดหลังอย่างชัดเจน การมีน้ำหนักเกินทำให้กระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อทำงานหนักขึ้น ส่งผลให้เกิดการเสื่อมสภาพของหมอนรองกระดูกและข้อต่อที่เร็วขึ้น นอกจากนี้ยังเพิ่มโอกาสเกิดโรคเกี่ยวกับกระดูกสันหลังหลายชนิด

อย่างไรก็ตาม การลดน้ำหนักและดูแลตัวเองอย่างถูกวิธีจะช่วยลดภาระให้กับกระดูกสันหลัง และช่วยป้องกันอาการปวดหลังได้ในระยะยาว อย่าลืมใส่ใจสุขภาพหลังของคุณ เพราะมันเป็นโครงสร้างสำคัญที่ช่วยให้เราใช้ชีวิตได้อย่างสมดุล!

แชร์บทความนี้เพื่อให้เพื่อนๆ และครอบครัวของคุณได้รู้ถึงผลกระทบของน้ำหนักตัวต่ออาการปวดหลัง และวิธีการดูแลสุขภาพหลังที่ถูกต้องกันเถอะ! 😊

#ปวดหลัง #สุขภาพหลัง #ลดน้ำหนัก #ดูแลตัวเอง

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันศุกร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ประเภทของการปวดหลัง: อาการเล็กน้อยถึงอาการเรื้อรัง

ประเภทของการปวดหลัง: อาการเล็กน้อยถึงอาการเรื้อรัง

ปวดหลัง… ปัญหายอดฮิตที่ไม่มีใครอยากเจอ แต่เชื่อเถอะว่าเกือบทุกคนต้องเคยผ่านมันมาแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการปวดเล็กน้อยหลังจากนั่งนาน หรือปวดจนลุกไม่ขึ้น! รู้ไหมว่า “การปวดหลัง” มีหลายประเภท ตั้งแต่อาการที่มาเพียงชั่วคราวจนถึงอาการเรื้อรังที่ต้องพบแพทย์เพื่อรักษา วันนี้เราจะพาคุณมาทำความรู้จักกับประเภทของอาการปวดหลังกันแบบง่ายๆ อ่านเพลิน รู้ทันเพื่อป้องกัน!

1. ปวดหลังชั่วคราว (Acute Back Pain)

นี่คืออาการปวดหลังที่เกิดขึ้นแบบฉับพลัน มักจะเกิดจากกิจกรรมในชีวิตประจำวัน เช่น นั่งทำงานนานๆ ยกของหนัก หรือนอนในท่าที่ไม่เหมาะสม อาการปวดชั่วคราวมักจะหายเองได้ภายในไม่กี่วันถึงไม่กี่สัปดาห์ แค่พักผ่อน ออกกำลังกายเบาๆ ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ คุณก็จะกลับมาเป็นปกติได้!

💡 เคล็ดลับ: ลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายทุกๆ 30 นาที ถ้าต้องนั่งทำงานนานๆ ช่วยลดความตึงของกล้ามเนื้อหลังได้ดี!

2. ปวดหลังซ้ำๆ (Subacute Back Pain)

นี่คืออาการปวดที่อยู่ระหว่างกลาง คือไม่ถึงขั้นเรื้อรังแต่ก็ไม่หายขาดง่ายๆ มักจะเกิดจากการใช้กล้ามเนื้อซ้ำๆ แบบไม่ถูกวิธี เช่น ยกของหนักหลายครั้ง หรือการนั่งทำงานนานโดยไม่ปรับท่านั่ง อาการปวดจะอยู่กับคุณนานประมาณ 6 สัปดาห์ และถ้าไม่ดูแลให้ดี อาจพัฒนาเป็นอาการเรื้อรังได้

3. ปวดหลังเรื้อรัง (Chronic Back Pain)

หากคุณมีอาการปวดหลังที่ยาวนานกว่า 3 เดือน นี่อาจเป็นสัญญาณของอาการปวดเรื้อรัง ซึ่งมักเกิดจากปัญหาที่ลึกลงไป เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท โรคข้อเสื่อม หรืออาการบาดเจ็บที่ไม่ฟื้นตัว อาการนี้มักจะรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันและควรรีบปรึกษาแพทย์ เพราะการปล่อยไว้จะทำให้อาการแย่ลงเรื่อยๆ

💡 เคล็ดลับ: การพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอย่างละเอียดเป็นสิ่งสำคัญ หากมีอาการปวดหลังเรื้อรัง ควรทำตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด และหลีกเลี่ยงการยกของหนักหรือการเคลื่อนไหวที่อาจทำให้บาดเจ็บมากขึ้น

4. ปวดหลังที่เกิดจากเส้นประสาท (Nerve-Related Back Pain)

ปวดหลังจากการกดทับเส้นประสาท หรือที่เราคุ้นกันดีในชื่อ “หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท” เป็นอาการปวดที่แหลมคมและร้าวไปยังส่วนอื่นของร่างกาย เช่น ร้าวลงขา อาการแบบนี้เกิดจากหมอนรองกระดูกที่เคลื่อนออกมากดทับเส้นประสาท หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดปัญหาใหญ่ได้!

💡 เคล็ดลับ: ถ้าคุณมีอาการนี้ การปรึกษาแพทย์เฉพาะทางอย่างรวดเร็วเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะอาจต้องใช้การรักษาเฉพาะทาง เช่น การกายภาพบำบัด หรือในบางกรณีการผ่าตัด

5. ปวดหลังจากกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Muscle-Related Back Pain)

กล้ามเนื้อหลังที่อ่อนแรงอาจเป็นสาเหตุหนึ่งของการปวดหลังที่หลายคนมองข้าม การนั่งหรือนอนผิดท่าเป็นเวลานานจะทำให้กล้ามเนื้อเกิดการอ่อนล้าและตึงตัว การออกกำลังกายที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหลังจะช่วยลดความเสี่ยงได้ดี

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

สรุป: การดูแลและป้องกันอาการปวดหลัง

ไม่ว่าคุณจะมีอาการปวดหลังแบบไหน การดูแลตัวเองด้วยการยืดกล้ามเนื้อและออกกำลังกายอย่างเหมาะสมเป็นวิธีที่ช่วยป้องกันและบรรเทาอาการปวดได้ในระยะยาว แต่หากมีอาการรุนแรงหรือปวดเรื้อรัง ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรับการรักษาอย่างเหมาะสม อย่าปล่อยให้การปวดหลังมากวนใจชีวิตประจำวันของคุณ!

แชร์บทความนี้ให้เพื่อนๆ ของคุณรู้ว่าการปวดหลังมีหลายประเภท และวิธีป้องกันง่ายๆ ก็สามารถทำได้ที่บ้าน มาเริ่มดูแลหลังของเราให้แข็งแรงกันเถอะ! 💪✨

#ปวดหลัง #สุขภาพหลัง #ดูแลหลัง #ปวดหลังเรื้อรัง #แชร์ต่อเพื่อสุขภาพที่ดี

สาเหตุของอาการปวดหลัง: ที่ควรรู้

อาการปวดหลังเป็นปัญหาที่คนส่วนใหญ่มักเจอในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศที่นั่งทำงานนานๆ หรือแม้แต่คนที่ใช้ชีวิตแบบแอคทีฟก็สามารถประสบปัญหานี้ได้ แต่ทราบหรือไม่ว่าอาการปวดหลังนั้นมีสาเหตุหลากหลายอย่างที่คุณอาจไม่เคยรู้? วันนี้เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง เพื่อให้คุณรู้เท่าทันและป้องกันได้อย่างถูกวิธี!

1. การนั่งหรือยืนผิดท่าเป็นเวลานาน

หลายคนอาจไม่ทราบว่าท่าทางการนั่งหรือยืนที่ไม่ถูกต้องสามารถสร้างปัญหาให้กับหลังของเราได้ เช่น การนั่งทำงานที่เก้าอี้ที่ไม่รองรับหลัง หรือนั่งหลังค่อมเป็นเวลานาน สิ่งนี้ทำให้เกิดแรงกดดันสะสมที่กล้ามเนื้อและกระดูกสันหลัง จนส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรังได้ หากต้องนั่งหรือนานนานๆ ควรลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายทุกๆ 30 นาที จะช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อหลังได้

2. การยกของหนักผิดวิธี

เคยสังเกตไหมว่าเวลาที่คุณยกของหนัก เช่น ยกกระเป๋าเดินทางหรือยกถุงช้อปปิ้ง อาการปวดหลังมักตามมาในภายหลัง? นั่นเพราะว่าการยกของผิดวิธี ทำให้กระดูกสันหลังรับน้ำหนักมากกว่าที่ควร ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อหลังและหมอนรองกระดูกได้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ ควรยกของโดยใช้กล้ามเนื้อขาแทนที่จะเป็นหลัง และให้หลังตรงเสมอ

3. การออกกำลังกายที่ไม่ถูกต้อง

การออกกำลังกายเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเราทำไม่ถูกวิธีหรือฝืนร่างกายมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่หลังได้เช่นกัน โดยเฉพาะในกรณีที่ยกเวทหรือออกกำลังกายแบบหนักหน่วงโดยที่ยังไม่ได้วอร์มอัพหรือเตรียมกล้ามเนื้อเพียงพอ ฉะนั้นก่อนออกกำลังกาย ควรทำการยืดกล้ามเนื้อและตรวจสอบท่าทางที่ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บและอาการปวดหลัง

4. ความเครียดและภาวะทางจิตใจ

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ความเครียดมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการปวดหลัง! เมื่อคุณเครียดหรือมีภาวะทางจิตใจที่ไม่สมดุล ร่างกายมักจะแสดงออกในรูปแบบของอาการปวดกล้ามเนื้อ ซึ่งอาการปวดหลังเป็นหนึ่งในอาการที่พบได้บ่อย ทางแก้คือการฝึกผ่อนคลายจิตใจด้วยการทำสมาธิ การออกกำลังกายเบาๆ หรือการหายใจลึกๆ จะช่วยลดอาการปวดหลังจากความเครียดได้

5. อายุและการเสื่อมสภาพของร่างกาย

เมื่ออายุมากขึ้น การเสื่อมสภาพของกระดูกและกล้ามเนื้อเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หมอนรองกระดูกจะเริ่มเสื่อมสภาพ ทำให้แรงกดทับที่กระดูกสันหลังมากขึ้นและอาจเกิดอาการปวดหลังได้บ่อยขึ้น แต่การดูแลตัวเองให้แข็งแรงด้วยการออกกำลังกายที่เหมาะสม และการรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกก็จะช่วยชะลอการเสื่อมสภาพได้

6. โรคและภาวะที่เกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลัง

นอกจากสาเหตุที่กล่าวมาแล้ว ยังมีโรคและภาวะอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง เช่น โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท โรคข้อเสื่อม หรือแม้แต่โรคกระดูกพรุน ซึ่งหากมีอาการปวดหลังบ่อยๆ และรุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง

สรุป: การดูแลและป้องกันอาการปวดหลัง

อาการปวดหลังสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ตั้งแต่ท่าทางการใช้ชีวิตประจำวันจนถึงภาวะทางจิตใจ การดูแลตัวเองด้วยการนั่งหรือยืนในท่าที่ถูกต้อง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงความเครียดจะช่วยลดความเสี่ยงได้ แต่หากอาการปวดหลังยังคงอยู่หรือมีอาการที่รุนแรง ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการรักษา

แชร์บทความนี้เพื่อให้เพื่อนๆ และครอบครัวของคุณได้รู้จักสาเหตุของอาการปวดหลัง และวิธีป้องกันอย่างถูกต้อง!

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

โทร 0815303666

#ปวดหลัง #สุขภาพหลัง #ดูแลตัวเอง #สุขภาพดีเริ่มที่ตัวเรา

สาเหตุของอาการปวดหลัง: ที่ควรรู้

สาเหตุของอาการปวดหลัง: ที่ควรรู้

อาการปวดหลังเป็นปัญหาที่คนส่วนใหญ่มักเจอในชีวิตประจำวัน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศที่นั่งทำงานนานๆ หรือแม้แต่คนที่ใช้ชีวิตแบบแอคทีฟก็สามารถประสบปัญหานี้ได้ แต่ทราบหรือไม่ว่าอาการปวดหลังนั้นมีสาเหตุหลากหลายอย่างที่คุณอาจไม่เคยรู้? วันนี้เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง เพื่อให้คุณรู้เท่าทันและป้องกันได้อย่างถูกวิธี!

1. การนั่งหรือยืนผิดท่าเป็นเวลานาน

หลายคนอาจไม่ทราบว่าท่าทางการนั่งหรือยืนที่ไม่ถูกต้องสามารถสร้างปัญหาให้กับหลังของเราได้ เช่น การนั่งทำงานที่เก้าอี้ที่ไม่รองรับหลัง หรือนั่งหลังค่อมเป็นเวลานาน สิ่งนี้ทำให้เกิดแรงกดดันสะสมที่กล้ามเนื้อและกระดูกสันหลัง จนส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรังได้ หากต้องนั่งหรือนานนานๆ ควรลุกขึ้นยืดเส้นยืดสายทุกๆ 30 นาที จะช่วยลดความตึงเครียดของกล้ามเนื้อหลังได้

2. การยกของหนักผิดวิธี

เคยสังเกตไหมว่าเวลาที่คุณยกของหนัก เช่น ยกกระเป๋าเดินทางหรือยกถุงช้อปปิ้ง อาการปวดหลังมักตามมาในภายหลัง? นั่นเพราะว่าการยกของผิดวิธี ทำให้กระดูกสันหลังรับน้ำหนักมากกว่าที่ควร ซึ่งอาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อหลังและหมอนรองกระดูกได้ เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหานี้ ควรยกของโดยใช้กล้ามเนื้อขาแทนที่จะเป็นหลัง และให้หลังตรงเสมอ

3. การออกกำลังกายที่ไม่ถูกต้อง

การออกกำลังกายเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเราทำไม่ถูกวิธีหรือฝืนร่างกายมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดอาการบาดเจ็บที่หลังได้เช่นกัน โดยเฉพาะในกรณีที่ยกเวทหรือออกกำลังกายแบบหนักหน่วงโดยที่ยังไม่ได้วอร์มอัพหรือเตรียมกล้ามเนื้อเพียงพอ ฉะนั้นก่อนออกกำลังกาย ควรทำการยืดกล้ามเนื้อและตรวจสอบท่าทางที่ถูกต้อง เพื่อหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บและอาการปวดหลัง

4. ความเครียดและภาวะทางจิตใจ

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า ความเครียดมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาการปวดหลัง! เมื่อคุณเครียดหรือมีภาวะทางจิตใจที่ไม่สมดุล ร่างกายมักจะแสดงออกในรูปแบบของอาการปวดกล้ามเนื้อ ซึ่งอาการปวดหลังเป็นหนึ่งในอาการที่พบได้บ่อย ทางแก้คือการฝึกผ่อนคลายจิตใจด้วยการทำสมาธิ การออกกำลังกายเบาๆ หรือการหายใจลึกๆ จะช่วยลดอาการปวดหลังจากความเครียดได้

5. อายุและการเสื่อมสภาพของร่างกาย

เมื่ออายุมากขึ้น การเสื่อมสภาพของกระดูกและกล้ามเนื้อเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หมอนรองกระดูกจะเริ่มเสื่อมสภาพ ทำให้แรงกดทับที่กระดูกสันหลังมากขึ้นและอาจเกิดอาการปวดหลังได้บ่อยขึ้น แต่การดูแลตัวเองให้แข็งแรงด้วยการออกกำลังกายที่เหมาะสม และการรับประทานอาหารที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกก็จะช่วยชะลอการเสื่อมสภาพได้

6. โรคและภาวะที่เกี่ยวข้องกับกระดูกสันหลัง

นอกจากสาเหตุที่กล่าวมาแล้ว ยังมีโรคและภาวะอื่นๆ ที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง เช่น โรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท โรคข้อเสื่อม หรือแม้แต่โรคกระดูกพรุน ซึ่งหากมีอาการปวดหลังบ่อยๆ และรุนแรง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้อง

สรุป: การดูแลและป้องกันอาการปวดหลัง

อาการปวดหลังสามารถเกิดได้จากหลายปัจจัย ตั้งแต่ท่าทางการใช้ชีวิตประจำวันจนถึงภาวะทางจิตใจ การดูแลตัวเองด้วยการนั่งหรือยืนในท่าที่ถูกต้อง ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงความเครียดจะช่วยลดความเสี่ยงได้ แต่หากอาการปวดหลังยังคงอยู่หรือมีอาการที่รุนแรง ควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับการรักษา

แชร์บทความนี้เพื่อให้เพื่อนๆ และครอบครัวของคุณได้รู้จักสาเหตุของอาการปวดหลัง และวิธีป้องกันอย่างถูกต้อง!

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

โทร 0815303666

#ปวดหลัง #สุขภาพหลัง #ดูแลตัวเอง #สุขภาพดีเริ่มที่ตัวเรา

วันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2567

ยกของหนักแล้วทำไมถึงปวดหลัง?

ยกของหนักแล้วทำไมถึงปวดหลัง?

เชื่อว่าหลาย ๆ คนคงเคยเจอปัญหานี้ บางครั้งแค่ยกของใช้ในบ้าน หรือยกของที่ทำงานเพียงไม่กี่ครั้ง ก็สามารถทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ทันที เรื่องนี้เป็นปัญหาที่ไม่ควรมองข้าม เพราะอาการปวดหลังจากการยกของหนักสามารถส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมาก และอาจพัฒนาไปสู่ปัญหาที่รุนแรงกว่านี้ได้ถ้าไม่ใส่ใจรักษา

เมื่อเรายกของหนัก โดยเฉพาะเมื่อเรายกในท่าทางที่ไม่ถูกต้อง เช่น การก้มตัวลงและยกขึ้นโดยใช้แค่กล้ามเนื้อหลังแทนที่จะใช้กล้ามเนื้อขา กล้ามเนื้อหลังและกระดูกสันหลังของเราจะรับน้ำหนักมากกว่าที่ควร ผลที่ตามมาก็คือการเกิดแรงกดดันที่หมอนรองกระดูก ซึ่งเป็นแผ่นเนื้อเยื่อที่ทำหน้าที่รองรับแรงกระแทกระหว่างกระดูกสันหลัง เมื่อหมอนรองกระดูกได้รับแรงกดดันมากเกินไป อาจทำให้หมอนรองกระดูกปลิ้นหรือเคลื่อนออกจากตำแหน่ง ส่งผลให้เกิดการกดทับเส้นประสาท นำมาซึ่งอาการปวดหลังอย่างรุนแรง และบางครั้งอาจมีอาการปวดร้าวไปที่ขาด้วย

นอกจากนี้ การยกของหนักยังส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังอักเสบได้ง่าย การที่กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนักและไม่ได้รับการพักผ่อนหรือยืดเหยียดที่เพียงพอ ทำให้กล้ามเนื้ออ่อนล้าและเกิดอาการบาดเจ็บตามมา ซึ่งอาการเหล่านี้อาจเป็นอาการเรื้อรังและกลับมาปวดซ้ำ ๆ ได้หากเราไม่ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการยกของ

การป้องกันอาการปวดหลังจากการยกของหนักไม่ใช่เรื่องยาก อย่างแรกที่ควรทำคือ ปรับท่าทางในการยกของให้ถูกต้อง ควรย่อตัวลงโดยใช้ขาและงอเข่าเพื่อให้หลังตรง เวลายกของให้ใช้กล้ามเนื้อขาและหน้าท้องเป็นหลักในการรับน้ำหนัก ไม่ควรก้มหลังลงเพื่อยกของ เพราะจะทำให้กล้ามเนื้อหลังทำงานหนักเกินไป การยกของให้ใกล้ตัวและยืดกล้ามเนื้อบ่อย ๆ ก็เป็นอีกวิธีที่ช่วยลดแรงกดที่หลังได้เช่นกัน

หากคุณรู้สึกปวดหลังหลังจากยกของหนัก ควรพักผ่อนและยืดเหยียดกล้ามเนื้อให้ผ่อนคลาย หากอาการไม่ดีขึ้นในระยะเวลา 1-2 วัน ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับคำแนะนำและการรักษาที่ถูกต้อง เพราะอาการปวดหลังที่เกิดจากการยกของหนักไม่ควรละเลย หากไม่ใส่ใจอาจนำไปสู่ปัญหาที่ใหญ่ขึ้น เช่น หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทที่ต้องได้รับการผ่าตัด

อย่าลืมว่า การดูแลร่างกายให้ถูกวิธีตั้งแต่วันนี้ เป็นการป้องกันอาการปวดหลังในระยะยาวได้ดีที่สุด และยังช่วยให้เรามีสุขภาพที่ดีพร้อมสำหรับทุกกิจกรรมในชีวิตประจำวัน!

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

#ปวดหลัง #ยกของหนัก #ปวดหลังจากยกของ #วิธีแก้ปวดหลัง #ปวดหลังเรื้อรัง #ท่ายกของที่ถูกต้อง #หมอนรองกระดูก #ปวดหลังจากหมอนรองกระดูก #ดูแลสุขภาพหลัง #ลดอาการปวด #หมอเก่งกระดูกและข้อ

วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2567

อาการปวดหลังจากหมอนรองกระดูกเคลื่อนคืออะไร?

อาการปวดหลังจากหมอนรองกระดูกเคลื่อนคืออะไร?

หลาย ๆ คนคงเคยได้ยินคำว่า “หมอนรองกระดูกเคลื่อน” หรือ “หมอนรองกระดูกปลิ้น” แต่เคยสงสัยกันไหมว่ามันคืออะไร แล้วทำไมมันถึงทำให้เราปวดหลังได้ขนาดนี้?

หมอนรองกระดูก (หรือที่เรียกว่า หมอนรองกระดูกสันหลัง) เป็นชั้นเนื้อเยื่อที่อยู่ระหว่างกระดูกสันหลังแต่ละข้อ มันทำหน้าที่เหมือนเบาะรอง เพื่อกันกระแทกและช่วยให้กระดูกสันหลังของเราขยับได้อย่างยืดหยุ่น แต่เมื่อหมอนรองกระดูกเกิดการเคลื่อนหรือปลิ้นออกมา มันจะไปกดทับเส้นประสาทที่อยู่ใกล้ ๆ ส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังหรือบางครั้งปวดร้าวลงไปที่ขาด้วย

แล้วอาการมันเป็นยังไง?

คนที่มีอาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนมักจะรู้สึกปวดหลังแบบตุ๊บ ๆ และมักจะปวดมากขึ้นเวลานั่งนาน ๆ หรือตอนก้มตัว ซึ่งบางครั้งความปวดนั้นจะลามไปถึงขา ทำให้รู้สึกชาหรืออ่อนแรง ซึ่งอาการนี้เราเรียกว่า Sciatica หรือ “ปวดร้าวลงขา” นั่นเอง

ทำไมหมอนรองกระดูกถึงเคลื่อน?

สาเหตุหลัก ๆ มักมาจากการใช้งานที่มากเกินไป เช่น ยกของหนักบ่อย ๆ หรือนั่งในท่าที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน ๆ หรือในบางกรณี อายุมากขึ้นก็เป็นปัจจัยให้หมอนรองกระดูกเสื่อมและเคลื่อนได้ง่ายขึ้น

การรักษาทำได้อย่างไรบ้าง?

โชคดีที่อาการหมอนรองกระดูกเคลื่อนไม่จำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัดเสมอไป วิธีแรกที่หมอจะแนะนำมักเป็นการพักผ่อน การทำกายภาพบำบัดเพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบ ๆ กระดูกสันหลัง หรือในบางกรณีหมออาจจะฉีดยาเพื่อลดการอักเสบ ซึ่งวิธีการเหล่านี้ช่วยบรรเทาอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แต่ถ้าอาการรุนแรงมากและไม่ดีขึ้นจากการรักษาด้วยวิธีอื่น การผ่าตัดอาจเป็นทางเลือกสุดท้าย ซึ่งการผ่าตัดในปัจจุบันก็ทำได้อย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

สรุปง่าย ๆ

หมอนรองกระดูกเคลื่อนก็คือการที่หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนออกจากตำแหน่งปกติ ทำให้ไปกดทับเส้นประสาทจนเกิดอาการปวด อาจปวดหลังหรือปวดร้าวไปถึงขา แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะการรักษามีหลายวิธีและหลายคนก็สามารถฟื้นตัวกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยไม่ต้องผ่าตัด

ถ้าคุณหรือคนใกล้ตัวมีอาการปวดหลังแบบนี้ แนะนำให้รีบปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อหาทางรักษาที่เหมาะสม เพราะบางครั้งการดูแลตัวเองให้ถูกวิธีตั้งแต่แรกจะช่วยให้เราหายจากอาการปวดได้เร็วขึ้น!

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

#หมอเก่งกระดูกและข้อ #หมอนรองกระดูกเคลื่อน #ปวดหลัง #ปวดร้าวลงขา #Sciatica #ปวดหลังรักษาได้ #กายภาพบำบัด #รักษาหมอนรองกระดูก #ไม่ต้องผ่าตัด #ปวดหลังทำไงดี #กระดูกสันหลัง

วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2567

ปวดหลัง? คุณไม่ได้อยู่คนเดียว! เคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยให้หายปวดหลังและเปลี่ยนชีวิตได้!

ปวดหลัง? คุณไม่ได้อยู่คนเดียว! เคล็ดลับง่ายๆ ที่จะช่วยให้หายปวดหลังและเปลี่ยนชีวิตได้!

หลายคนในปัจจุบันต้องเผชิญกับอาการปวดหลัง ไม่ว่าจะเป็นพนักงานออฟฟิศที่นั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน หรือเป็นผู้ที่มีอาการปวดจากการยกของหนัก หรือแม้แต่อายุที่มากขึ้น อาการปวดหลังเป็นสิ่งที่พบเจอได้ในทุกช่วงอายุและเป็นหนึ่งในปัญหาที่ก่อให้เกิดความรำคาญอย่างมากในชีวิตประจำวัน

ทำไมถึงปวดหลัง?

อาการปวดหลังเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ ไม่ว่าจะเป็นการนั่งหรือยืนในท่าที่ไม่ถูกต้อง การบาดเจ็บจากการทำงานหรือออกกำลังกาย ภาวะเสื่อมของหมอนรองกระดูก และบางครั้งอาจเกี่ยวข้องกับโรคกระดูกเสื่อม หรือการที่กระดูกสันหลังถูกกดทับ ความเครียดก็สามารถเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังได้เช่นกัน

การปวดหลังไม่ใช่เรื่องที่ต้องทน!

เราสามารถบรรเทาอาการปวดหลังได้ด้วยเคล็ดลับง่ายๆ ที่ทำได้เองที่บ้าน ซึ่งจะช่วยให้ฟื้นตัวได้เร็วขึ้น และไม่ต้องรู้สึกทรมานจากอาการนี้อีกต่อไป

เคล็ดลับง่ายๆ ในการดูแลหลัง:

1. ปรับเปลี่ยนท่านั่งและยืน: การนั่งและยืนในท่าทางที่ถูกต้องมีความสำคัญมาก หากคุณทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ ควรจัดโต๊ะและเก้าอี้ให้เหมาะสม และลองใช้หมอนรองหลังเพื่อช่วยรองรับกระดูกสันหลัง หรือยืนพักสักครู่ทุกๆ ชั่วโมงเพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อตึงมากเกินไป

2. ออกกำลังกายเสริมสร้างกล้ามเนื้อ: การออกกำลังกายเป็นวิธีที่ดีมากในการป้องกันและบรรเทาอาการปวดหลัง ควรเน้นที่การยืดเหยียดกล้ามเนื้อหลังและกล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว (core muscle) ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกระดูกสันหลังและลดความเสี่ยงของการปวดหลังได้อย่างมาก

3. ยืดเหยียดกล้ามเนื้อเป็นประจำ: ท่าทางที่ไม่ถูกต้องและการใช้งานกล้ามเนื้อในชีวิตประจำวันอาจทำให้กล้ามเนื้อตึงเครียด การยืดเหยียดเบาๆ เช่น การทำโยคะหรือพิลาทิสเป็นประจำจะช่วยให้กล้ามเนื้อยืดหยุ่น ลดการบาดเจ็บ และช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง

4. พักผ่อนให้เพียงพอ: การนอนหลับเป็นช่วงเวลาที่สำคัญสำหรับการฟื้นฟูร่างกาย เลือกใช้หมอนและที่นอนที่เหมาะสมสำหรับการรองรับสรีระ การนอนในท่าทางที่ถูกต้องจะช่วยลดแรงกดทับที่หลังและทำให้คุณตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่น

5. ลดน้ำหนัก: น้ำหนักตัวที่เกินสามารถเพิ่มแรงกดที่กระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อ การลดน้ำหนักจะช่วยลดภาระบนหลังและช่วยลดอาการปวดได้อย่างมาก

หากอาการปวดหลังยังไม่หายไป?

ถ้าอาการปวดหลังยังคงอยู่ หรือรุนแรงขึ้น ควรพิจารณาพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับคำปรึกษา อาจจะต้องตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริง แพทย์อาจจะแนะนำการทำกายภาพบำบัด การออกกำลังกายเฉพาะจุด การฉีดยาระงับปวด หรือการรักษาอื่นๆ เพื่อบรรเทาอาการและทำให้คุณกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้

ไม่จำเป็นต้องทนปวดหลังต่อไป!

การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและการดูแลสุขภาพที่ดีสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดหลังได้ และยังช่วยป้องกันไม่ให้เกิดอาการซ้ำอีก เมื่อเราดูแลสุขภาพหลังของเราอย่างถูกต้อง ทุกท่านก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตอย่างเต็มที่ได้อีกครั้ง!

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

#ปวดหลัง #บรรเทาปวดหลัง #สุขภาพดี #วิถีชีวิตที่ดี

วันพฤหัสบดีที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2567

การรักษาอาการปวดหลังด้วยการฉีดยาลดการอักเสบเข้าโพรงประสาทด้วยการระบุตำแหน่งด้วย ultrasound เพิ่มความแม่นยำในการรักษา

การรักษาอาการปวดหลังด้วยการฉีดยาลดการอักเสบเข้าโพรงประสาทด้วยการระบุตำแหน่งด้วย ultrasound เพิ่มความแม่นยำในการรักษา

ปัญหาปวดหลังหรือมีอาการปวด ชา ร้าวลงขา (เช่น อาการหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท) และการรักษาด้วยวิธีทั่วไปอย่างการกินยาหรือทำกายภาพบำบัดยังไม่ช่วยให้อาการดีขึ้น ทางเลือกการรักษาที่ปลอดภัยและได้ผลดี นั่นก็คือ การฉีดยาเข้าโพรงประสาทด้วยเทคนิคอัลตราซาวด์ (Ultrasound Guided Epidural Injection) ร่วมกับการใช้ยาสเตียรอยด์ขนาดต่ำ ซึ่งจะช่วยลดอาการปวดและการอักเสบได้อย่างตรงจุด

ทำไมต้องใช้เทคนิคอัลตราซาวด์ในการฉีดยา?

เครื่องอัลตราซาวด์จะช่วยให้แพทย์เห็นโครงสร้างกระดูกสันหลังและตำแหน่งที่จะฉีดยาเข้าไปได้ชัดเจน ทำให้ฉีดยาได้อย่างแม่นยำ ลดความเสี่ยงจากการฉีดผิดตำแหน่ง เทคนิคนี้ยังปลอดภัยกว่าการใช้เครื่อง X-ray เพราะไม่ต้องสัมผัสกับรังสี

สเตียรอยด์ขนาดต่ำ ดีอย่างไร?

การใช้สเตียรอยด์ขนาดต่ำจะช่วยลดอาการอักเสบและปวดได้โดยมีผลข้างเคียงน้อยกว่าการใช้ในปริมาณสูง ช่วยลดความเสี่ยงต่อผลกระทบระยะยาว เช่น กระดูกบาง หรือปัญหาเกี่ยวกับระบบภูมิคุ้มกัน

ขั้นตอนการรักษา

1. ผู้ป่วยจะนอนในท่าที่สะดวกเพื่อให้แพทย์สามารถหาตำแหน่งฉีดยาที่ถูกต้อง

2. แพทย์จะใช้เครื่องอัลตราซาวด์ตรวจหาตำแหน่งโพรงประสาท

3. แพทย์จะฉีดยาสเตียรอยด์ขนาดต่ำเข้าไปในโพรงประสาทอย่างแม่นยำ

4. กระบวนการนี้ใช้เวลาไม่นาน และผู้ป่วยสามารถกลับบ้านได้ภายในวันเดียว

ผลลัพธ์ที่คาดหวัง

หลังฉีดยา อาการปวดจะเริ่มดีขึ้นในไม่กี่วัน และผลการรักษาอาจคงอยู่ได้นานหลายสัปดาห์หรือหลายเดือน ทำให้คุณสามารถกลับไปทำกิจกรรมต่าง ๆ ได้ตามปกติ

ใครเหมาะกับการรักษานี้?

การฉีดยาเข้าโพรงประสาทเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดหลังเรื้อรังจากปัญหาหมอนรองกระดูกเคลื่อน ปวดหลังเฉียบพลัน กระดูกสันหลังเสื่อม หรืออาการปวดที่เกิดจากการกดทับเส้นประสาท และยังไม่พร้อมสำหรับการผ่าตัด

#หมอเก่งกระดูกและข้อ #ปวดหลัง #หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท #ปวดชาร้าวลงขา

วันเสาร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2567

ปวดหลัง!!! ทราบหรือไม่อะไรเป็นสาเหตุ????

ปวดหลัง!!! ทราบหรือไม่อะไรเป็นสาเหตุ????

อาการปวดหลัง เป็นปัญหาที่หลายคนเจอกันบ่อย ๆ ไม่ว่าจะเป็นวัยทำงาน วัยรุ่น หรือผู้สูงอายุ ก็มักจะประสบปัญหานี้กันบ่อย ซึ่งสาเหตุของอาการปวดหลังนั้นมีหลายอย่าง แต่ที่เจอกันมาก ๆ ก็มีอยู่ไม่กี่ข้อ ลองมาดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง และบางอย่างเราสามารถป้องกันได้เองง่าย ๆ

1. ท่าทางที่ไม่ถูกต้องในชีวิตประจำวัน

ใครจะไปคิดว่าแค่การนั่งทำงานนาน ๆ หรือยกของผิดท่าจะส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังได้จริง ๆ! การนั่งผิดท่า หรือนั่งอยู่ท่าเดียวตลอดวัน จะทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องรับน้ำหนักมากเกินไป และอาจทำให้กระดูกสันหลังเสื่อมได้ ดังนั้นหากนั่งทำงานนาน ๆ อย่าลืมเปลี่ยนท่าบ้าง หรือลุกขึ้นเดินไปมาสักพักนะครับ

2. การบาดเจ็บจากการออกกำลังกายหรืออุบัติเหตุ

หลายคนที่ชอบออกกำลังกาย หรือเล่นกีฬา อาจเคยมีประสบการณ์ปวดหลังกันมาบ้าง เพราะบางครั้งเราใช้แรงมากเกินไป หรือท่าทางการออกกำลังกายไม่ถูกต้อง นอกจากนี้ การเกิดอุบัติเหตุต่าง ๆ เช่น การล้ม หรือการขับรถชน ก็ทำให้เกิดการบาดเจ็บที่หลังได้เหมือนกันครับ

3. หมอนรองกระดูกเสื่อม

เมื่อเราอายุมากขึ้น หมอนรองกระดูกสันหลังที่ทำหน้าที่รับแรงระหว่างกระดูกก็จะเริ่มเสื่อมสภาพ ทำให้เกิดอาการปวดหลังได้ โดยเฉพาะในคนที่ทำงานหนักหรือใช้งานหลังมากเป็นเวลานาน ดังนั้นการดูแลหลังให้ดีตั้งแต่วันนี้เป็นเรื่องสำคัญนะครับ

4. ความเครียดสะสม

ฟังดูเหมือนจะไม่เกี่ยวกัน แต่ความเครียดส่งผลต่อกล้ามเนื้อหลังและไหล่ได้ครับ เวลาที่เรารู้สึกเครียด กล้ามเนื้อเหล่านี้จะตึงตัว ทำให้เรารู้สึกปวดเมื่อยที่หลังได้ง่ายขึ้น ใครที่เครียดจากงานหรือปัญหาต่าง ๆ ลองหาวิธีผ่อนคลายดูบ้างนะครับ

5. กระดูกสันหลังคดหรือผิดรูป

บางคนเกิดมาพร้อมกับกระดูกสันหลังคดหรือผิดรูป ทำให้ต้องทนกับอาการปวดหลังตั้งแต่เด็ก แต่บางครั้งเราอาจไม่รู้ตัวจนกว่าจะโต ซึ่งหากมีอาการปวดหลังเรื้อรัง ก็ควรไปตรวจสุขภาพหลังเพื่อป้องกันอาการที่แย่ลงครับ

6. การนอนหลับที่ไม่ถูกสุขลักษณะ

การนอนมีผลมากต่ออาการปวดหลัง เตียงที่นิ่มเกินไปหรือแข็งเกินไปทำให้หลังของเราอยู่ในท่าทางที่ไม่ดี ทำให้ตื่นมาแล้วรู้สึกปวดหลัง นอกจากนี้การนอนผิดท่าก็มีผลด้วยครับ ดังนั้นเลือกเตียงและหมอนที่รองรับสรีระได้ดี และพยายามนอนในท่าที่ถูกต้องจะช่วยลดอาการปวดหลังได้

สรุปสั้น ๆ

การป้องกันอาการปวดหลังสามารถทำได้ง่าย ๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับพฤติกรรมในการทำงานหรือกิจวัตรประจำวัน เช่น นั่งให้ถูกท่า ออกกำลังกายเพื่อเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลัง และพักผ่อนให้เพียงพอ ถ้าเริ่มปวดหลังบ่อย ๆ อย่าลืมสังเกตพฤติกรรมของตัวเอง และถ้าปวดมาก ๆ ก็อย่าลืมมาพบแพทย์นะครับ จะได้ตรวจดูว่ามีปัญหาสุขภาพหลังที่ร้ายแรงหรือเปล่า

การดูแลหลังเป็นเรื่องสำคัญ อย่าลืมใส่ใจสุขภาพของตัวเองกันนะครับ!

#สุขภาพหลังดีชีวิตก็ดี #ปวดหลังต้องรู้ #หมอเก่งกระดูกและข้อ #สาเหตุปวดหลัง

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันศุกร์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2567

การออกกำลังกายที่ควรหลีกเลี่ยงถ้าคุณมีอาการปวดหลัง พร้อมทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า

การออกกำลังกายที่ควรหลีกเลี่ยงถ้าคุณมีอาการปวดหลัง พร้อมทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า

ปวดหลังแต่อยากออกกำลังกาย? มาดูกันว่ามีการออกกำลังกายแบบไหนที่ต้องระวัง และมีทางเลือกที่ปลอดภัยสำหรับคนปวดหลัง 💪 สุขภาพดีได้โดยไม่ต้องทนปวดหลัง!

หลายคนอยากออกกำลังกายเพื่อสุขภาพที่ดี แต่ถ้าคุณมีอาการปวดหลัง การออกกำลังกายบางประเภทอาจทำให้อาการแย่ลงได้นะครับ มาดูกันว่ามีการออกกำลังกายแบบไหนที่ควรหลีกเลี่ยง และมีทางเลือกที่ปลอดภัยกว่าสำหรับคนที่มีปัญหาปวดหลัง

การออกกำลังกายที่ควรหลีกเลี่ยง

1. ยกน้ำหนักแบบก้มหลัง

การยกน้ำหนักในท่าที่ก้มหลังหรือใช้หลังมากเกินไป เช่น Deadlift หรือ Squat ที่หนักเกินไป อาจทำให้กล้ามเนื้อหลังเกิดการบาดเจ็บและปวดหนักขึ้น

ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า: ลองลดน้ำหนักหรือใช้เครื่องออกกำลังกายที่รองรับหลังได้ เช่น เครื่อง Leg Press หรือทำท่า Squat ด้วยน้ำหนักตัวโดยไม่ต้องใช้น้ำหนักเสริม

2. กระโดดสูงหรือการวิ่งบนพื้นแข็ง

การกระโดดสูงหรือวิ่งบนพื้นแข็งอาจเพิ่มแรงกระแทกที่กระดูกสันหลัง ทำให้ปวดหลังมากขึ้น โดยเฉพาะถ้าคุณมีปัญหาเกี่ยวกับหมอนรองกระดูก

ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า: ลองออกกำลังกายที่ลดแรงกระแทก เช่น การเดินเร็วหรือปั่นจักรยานบนพื้นเรียบ หรือใช้เครื่อง Elliptical ที่ช่วยลดแรงกระแทกได้

3. การบิดตัวอย่างแรงในการออกกำลังกาย

การออกกำลังกายที่มีการบิดตัวแรง ๆ เช่น การเล่นกีฬาที่ต้องหมุนตัวอย่างรวดเร็ว (เทนนิส, กอล์ฟ) อาจทำให้กล้ามเนื้อหลังเกร็งและปวดมากขึ้น

ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า: ลองทำการยืดกล้ามเนื้อหรือโยคะที่เน้นการเคลื่อนไหวช้า ๆ และสมดุล ช่วยให้กล้ามเนื้อผ่อนคลายและเพิ่มความยืดหยุ่นโดยไม่กระทบต่อหลัง

4. ท่า Sit-up หรือ Crunch ที่ผิดท่า

หลายคนชอบออกกำลังกายหน้าท้องด้วยท่า Sit-up หรือ Crunch แต่ถ้าทำผิดท่า หรือทำบนพื้นแข็ง ๆ อาจทำให้หลังส่วนล่างเกิดการบาดเจ็บได้

5. การออกกำลังกายที่ต้องยกขาสูงซ้ำ ๆ

ท่าที่ต้องยกขาสูงซ้ำ ๆ อย่างท่า Leg Raise บางครั้งอาจทำให้หลังส่วนล่างเกิดการตึงและเจ็บได้

สรุป

การออกกำลังกายมีประโยชน์มากสำหรับสุขภาพ แต่สำหรับคนที่มีอาการปวดหลัง การเลือกการออกกำลังกายที่เหมาะสมเป็นสิ่งสำคัญ หากเลือกไม่ถูกอาจทำให้อาการแย่ลงได้ แต่ถ้าเราเลือกทางเลือกที่ปลอดภัย จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรงขึ้นโดยไม่กระทบกับหลังของเรา หมั่นออกกำลังกายอย่างถูกต้องและรักษาหลังให้ดี เพื่อชีวิตที่แข็งแรงและปราศจากอาการปวดครับ

#ปวดหลัง #ออกกำลังกายปลอดภัย #สุขภาพหลังดี #ดูแลหลังด้วยตัวเอง

#ปวดหลัง #ออกกำลังกายอย่างถูกวิธี #สุขภาพดี”

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันพฤหัสบดีที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2567

รู้ไหม? การออกกำลังกายบางแบบอาจทำให้ปวดหลังมากขึ้น!!!

รู้ไหม? การออกกำลังกายบางแบบอาจทำให้ปวดหลังมากขึ้น!!!

อยากออกกำลังกายแต่กลัวหลังยิ่งปวด? มาดูกันว่าท่าไหนที่ทำให้ปวดหลังมากขึ้น จะได้เลี่ยงก่อนที่จะเผลอทำร้ายหลังตัวเอง! #ปวดหลังต้องระวัง #ออกกำลังกายอย่างถูกวิธี #ดูแลหลังให้ดี”

อาการปวดหลังเป็นปัญหาที่หลายคนต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นวัยทำงานหรือผู้สูงอายุ การออกกำลังกายถือเป็นวิธีหนึ่งที่ดีในการบรรเทาและป้องกันอาการปวดหลัง แต่… อย่าลืมว่าการออกกำลังกายบางประเภทหรือการทำท่าผิดๆ อาจทำให้อาการปวดหลังของคุณยิ่งแย่ลงไปอีก! วันนี้เรามีลิสต์กิจกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง ถ้าคุณไม่อยากให้หลังปวดหนักขึ้นมาฝากกัน!

1. ยกน้ำหนักแบบก้มหลัง

การยกน้ำหนักสามารถช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อได้ แต่หากยกของหนักโดยก้มหลัง จะสร้างแรงกดดันมหาศาลต่อกระดูกสันหลัง โดยเฉพาะถ้าคุณยกของในท่าที่ผิด เช่น ก้มลงยกของจากพื้นโดยไม่ได้ย่อตัวหรือใช้กล้ามเนื้อขา การทำเช่นนี้อาจทำให้หมอนรองกระดูกเกิดการกดทับ หรือทำให้เส้นประสาทถูกกดทับได้ วิธีที่ถูกต้องคือ ย่อตัวลงยก และพยายามรักษาหลังให้ตรง ใช้กำลังจากขาแทนที่จะใช้หลังโดยตรง

2. การออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกสูง (High-impact exercise)

กิจกรรมที่ต้องกระโดดหรือวิ่ง เช่น การวิ่งมาราธอน, การเล่นบาสเกตบอล หรือการกระโดดเชือก สามารถสร้างแรงกดดันต่อกระดูกสันหลังได้ โดยเฉพาะในกรณีที่คุณมีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลังอยู่แล้ว การออกกำลังกายเหล่านี้อาจทำให้อาการปวดหลังแย่ลง ทางที่ดีควรเลือกออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกต่ำ เช่น การเดินเร็ว, การว่ายน้ำ, หรือการปั่นจักรยาน ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันที่หลังและยังคงรักษาความฟิตได้เหมือนกัน

3. ซิทอัพแบบผิดวิธี

ซิทอัพเป็นท่าที่หลายคนเลือกใช้เพื่อเสริมสร้างกล้ามเนื้อหน้าท้อง แต่หากทำผิดวิธี เช่น งอตัวมากเกินไป หรือใช้แรงจากหลังส่วนล่างแทนที่จะเป็นกล้ามเนื้อหน้าท้อง อาจทำให้กล้ามเนื้อหลังบาดเจ็บได้ แนะนำให้ปรับมาใช้ท่า Plank ซึ่งไม่กดดันกระดูกสันหลัง แต่ยังได้ผลดีในการเสริมสร้างแกนกลางลำตัว

4. โหนบาร์แบบหักโหม

การโหนบาร์หรือดึงข้อ (Pull-ups) ช่วยเสริมความแข็งแรงของกล้ามเนื้อแขนและหลังส่วนบนได้เป็นอย่างดี แต่ถ้าคุณทำมากเกินไป หรือทำโดยที่กล้ามเนื้อหลังส่วนล่างอ่อนแอ อาจเกิดอาการเกร็งที่กล้ามเนื้อและทำให้ปวดหลังได้ ควรฝึกค่อยๆ เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างก่อนที่จะไปโหนบาร์อย่างจริงจัง

5. วิดพื้นแบบผิดท่า

การวิดพื้นเป็นท่าออกกำลังกายที่สามารถทำได้ง่ายๆ ที่บ้าน แต่หากทำท่าผิด เช่น การกดหลังลงมากเกินไปหรือไม่รักษาระดับของลำตัวให้ตรง จะเพิ่มแรงกดที่หลังส่วนล่างจนทำให้ปวดหลัง แนะนำให้ระมัดระวังการจัดท่าทางให้ถูกต้อง คือ ลำตัวต้องเป็นเส้นตรงจากหัวจรดเท้า และไม่งอหลังเวลาทำท่าวิดพื้น

6. การนั่งปั่นจักรยานเป็นเวลานาน

การปั่นจักรยานเป็นกิจกรรมที่ดีสำหรับการออกกำลังกายแบบแรงกระแทกต่ำ แต่ถ้าคุณนั่งปั่นจักรยานในท่าที่งอตัวไปข้างหน้าหรือนั่งนานเกินไป จะเพิ่มแรงกดดันที่กระดูกสันหลังส่วนล่าง หากคุณปั่นเป็นเวลานาน ให้ปรับเบาะให้สูงพอดี และพยายามยืดตัวให้หลังตรงระหว่างการปั่นเพื่อป้องกันอาการปวดหลัง

สรุป:

ไม่ว่าคุณจะมีอาการปวดหลังหรือไม่ การออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญที่ควรทำเป็นประจำ แต่ต้องทำอย่างถูกวิธีและระมัดระวัง อย่าลืมว่าท่าทางที่ผิดอาจทำให้อาการปวดหลังรุนแรงขึ้นได้ การปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านกายภาพบำบัดก่อนเริ่มออกกำลังกาย สามารถช่วยให้คุณทำได้อย่างปลอดภัยและลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บ

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันพุธที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2567

ปวดหลัง!!!! : หมอนรองกระดูกเคลื่อน VS มะเร็งลุกลามมาที่กระดูกสันหลัง?

ปวดหลัง!!!! : หมอนรองกระดูกเคลื่อน VS มะเร็งลุกลามมาที่กระดูกสันหลัง?

หลายคนคงเคยเจออาการปวดหลังกันมาบ้างใช่ไหมครับ?

อาการปวดหลังสามารถเกิดได้จากหลายสาเหตุ ซึ่งบางครั้งอาจเป็นแค่อาการปวดกล้ามเนื้อจากการทำงานหนัก แต่บางครั้งก็อาจเป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่ใหญ่กว่านั้น อย่างเช่น หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท หรือที่ร้ายแรงยิ่งขึ้นก็คือ มะเร็งที่ลุกลามมาที่กระดูกสันหลัง

วันนี้เรามาดูกันว่าทั้งสองอย่างนี้แตกต่างกันยังไงบ้างครับ!

หมอนรองกระดูกเคลื่อนทับเส้นประสาท

หมอนรองกระดูกเป็นตัวช่วยรองรับแรงกระแทกระหว่างกระดูกสันหลัง แต่เมื่อมันเคลื่อนตัวไปกดทับเส้นประสาท จะทำให้เกิดอาการปวดที่เราไม่สามารถทนได้

• ลักษณะอาการปวด: ปวดแบบแหลมคม ร้าวไปตามแนวเส้นประสาท โดยเฉพาะปวดร้าวลงขาหรือแขน ถ้าคุณขยับตัวมาก ๆ ก็จะปวดมากขึ้น

• อาการอื่น ๆ ที่มักเกิดร่วม: อาจรู้สึกชา เหมือนมีกล้ามเนื้ออ่อนแรง บางครั้งรู้สึกเหมือนถูกเข็มทิ่ม ๆ

• ส่วนใหญ่พบที่: บริเวณเอวหรือคอ

• การรักษา: ถ้าไม่รุนแรงมาก การพักผ่อน กายภาพบำบัด และทานยาแก้ปวดก็ช่วยได้ ฉีดยาเข้าโพรงประสาทเพื่อลดการอักเสบ ในกรณีที่รุนแรงมาก ๆ อาจต้องผ่าตัด

มะเร็งลุกลามมาที่กระดูกสันหลัง

มะเร็งที่กระจายมายังกระดูกสันหลังมักมาจากมะเร็งที่เกิดในอวัยวะอื่นแล้วลุกลามมาที่กระดูก ทำให้เกิดอาการปวดอย่างต่อเนื่อง และมักจะแย่ลงเรื่อย ๆ

• ลักษณะอาการปวด: ปวดตื้อ ๆ หรือปวดคม ๆ ที่ไม่หายแม้ว่าจะนอนพักผ่อนแล้วก็ตาม โดยเฉพาะเวลากลางคืนจะปวดมากขึ้น

• อาการอื่น ๆ ที่มักเกิดร่วม: น้ำหนักลด อ่อนเพลีย และบางครั้งอาจมีปัญหาเรื่องระบบประสาท เช่น ชาหรือควบคุมการขับถ่ายไม่ได้

• ส่วนใหญ่พบที่: กระดูกสันหลังส่วนอกหรือเอว

• การรักษา: มักจะรักษาด้วยการฉายแสง เคมีบำบัด หรือการผ่าตัด ขึ้นอยู่กับระยะและชนิดของมะเร็ง

สรุปความแตกต่าง

หมอนรองกระดูกเคลื่อนจะทำให้เราปวดแบบเฉียบพลันเมื่อขยับตัว อาจปวดร้าวลงไปที่แขนหรือขา ในขณะที่อาการปวดจากมะเร็งจะปวดแบบต่อเนื่อง ไม่ว่าคุณจะพักผ่อนแค่ไหนก็ยังปวดอยู่ และมักจะรุนแรงขึ้นในตอนกลางคืน

ถ้าคุณรู้สึกว่าปวดหลังมากขึ้นเรื่อย ๆ น้ำหนักลด อ่อนเพลีย หรือมีปัญหาควบคุมการขับถ่าย ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อตรวจเช็คให้แน่ใจครับ

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันอาทิตย์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2567

ขับรถนานๆ แล้วปวดหลัง?

ขับรถนานๆ แล้วปวดหลัง?

รู้ไหมว่า ท่านั่งที่ไม่ถูกต้องและการไม่พักเป็นระยะๆ เป็นสาเหตุหลักที่ทำให้คุณต้องเจอปัญหานี้! มาปรับวิธีขับรถและดูแลสุขภาพหลังของเรากันดีกว่า ขับปลอดภัย หลังสบายทุกเส้นทาง

หลายคนคงเคยมีประสบการณ์กับการขับรถเป็นเวลานาน ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไกลหรือการติดอยู่ในจราจรที่แน่นขนัด แต่สิ่งที่ไม่พึงประสงค์มักจะเกิดขึ้นตามมาคือ อาการปวดหลังที่ทำให้การเดินทางของคุณไม่สนุกอย่างที่ควรจะเป็น การขับรถนานๆ ทำไมถึงทำให้เกิดอาการปวดหลัง? และเราจะป้องกันได้อย่างไร? มาหาคำตอบกัน

สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังจากการขับรถนานๆ

1. ท่านั่งที่ไม่ถูกต้อง: การนั่งในท่าที่ไม่ถูกต้อง เช่น การโน้มตัวไปข้างหน้าหรือการนั่งงอหลัง ทำให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนักเกินไป นอกจากนี้ยังทำให้แรงกดทับบนกระดูกสันหลังมากขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดหลัง

2. การขาดการเคลื่อนไหว: การขับรถเป็นเวลานานทำให้ร่างกายอยู่ในท่าเดิมๆ ต่อเนื่องโดยไม่ได้เคลื่อนไหว ซึ่งทำให้กล้ามเนื้อเกิดความตึงเครียด ส่งผลให้อาการปวดหลังแสดงออกมาอย่างชัดเจน

3. เบาะนั่งที่ไม่รองรับกระดูกสันหลัง: บางครั้งเบาะนั่งรถยนต์ไม่ได้ออกแบบมาเพื่อรองรับสรีระของเราอย่างเหมาะสม ทำให้กระดูกสันหลังไม่ได้รับการรองรับที่ดี และนำไปสู่อาการปวดหลังในที่สุด

4. ความเครียด: การขับรถในสภาพจราจรที่หนาแน่นหรือการเดินทางไกลอาจทำให้เกิดความเครียด ซึ่งมีผลกระทบต่อกล้ามเนื้อในร่างกาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหลังและไหล่ ทำให้เกิดอาการปวด

วิธีป้องกันอาการปวดหลังจากการขับรถนานๆ

1. ปรับท่านั่งให้ถูกต้อง: พยายามนั่งให้หลังตรง ไม่โน้มตัวไปข้างหน้า และใช้พนักพิงที่รองรับกระดูกสันหลังส่วนล่างได้ดี หากเบาะนั่งไม่รองรับ ให้ใช้หมอนรองหลังเพิ่มเติม

2. พักบ่อยๆ: ทุกๆ 1-2 ชั่วโมง ควรจอดพักเพื่อลุกขึ้นยืดเหยียดกล้ามเนื้อและผ่อนคลายกล้ามเนื้อหลัง เพื่อลดความตึงเครียด

3. ปรับเบาะนั่ง: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเบาะนั่งอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสมกับความสูงของคุณ และให้ขาคุณสามารถแตะถึงพื้นได้เต็มที่ โดยไม่ต้องเขย่งหรือก้มตัว

4. จัดวางอุปกรณ์ภายในรถให้เหมาะสม: ให้พวงมาลัยและกระจกมองหลังอยู่ในตำแหน่งที่คุณสามารถใช้งานได้สะดวกโดยไม่ต้องหมุนหรือบิดตัวบ่อยๆ

5. ทำสมาธิและผ่อนคลาย: หากคุณต้องขับรถในสภาพที่เครียด พยายามหายใจลึกๆ และทำสมาธิเพื่อผ่อนคลายจิตใจ ซึ่งจะช่วยลดความเครียดและป้องกันอาการปวดหลังได้

การขับรถนานๆ อาจเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เราสามารถดูแลสุขภาพหลังของเราได้โดยการปรับท่านั่งให้ถูกต้อง พักเป็นระยะ และจัดสภาพแวดล้อมภายในรถให้เหมาะสม เพื่อให้การเดินทางของคุณเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่มีอาการปวดหลังตามมา

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

#ปวดหลังจากขับรถ #สุขภาพหลังดีไม่มีปวด #หมอเก่งกระดูกและข้อ #ปวดหลัง

กระดูกพรุน… ภัยเงียบที่อาจทำให้กระดูกสันหลังยุบและปวดหลังอย่างรุนแรง

“กระดูกพรุน… ภัยเงียบที่อาจทำให้กระดูกสันหลังยุบและปวดหลังอย่างรุนแรง”

“รู้หรือไม่? กระดูกพรุนสามารถทำให้กระดูกสันหลังยุบและเกิดอาการปวดหลังได้ มาเรียนรู้และป้องกันก่อนจะสายเกินไป!”

โรคกระดูกพรุนเป็นโรคที่กระดูกของเราบางลงและอ่อนแอลง เมื่อเวลาผ่านไป กระดูกของเราจะมีความหนาแน่นลดลง ซึ่งทำให้มันเปราะบางและหักได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในผู้หญิงที่หมดประจำเดือนเร็วหรือมีอายุ 65 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นกลุ่มเสี่ยงที่พบโรคนี้ได้มากที่สุด

กระดูกสันหลังและโรคกระดูกพรุน

เมื่อเราเป็นโรคกระดูกพรุน กระดูกสันหลังของเราก็จะอ่อนแอลงด้วย ซึ่งอาจทำให้เกิดกระดูกสันหลังยุบตัวได้ โดยปกติแล้ว ถ้าโรคกระดูกพรุนไม่ได้ทำให้กระดูกยุบ เราจะไม่รู้สึกปวดหลังเลย แต่ถ้ากระดูกสันหลังเริ่มยุบตัวลง จะทำให้เกิดอาการปวดหลังอย่างรุนแรงทันที ซึ่งเป็นสัญญาณที่เราไม่ควรมองข้าม

การที่กระดูกสันหลังยุบไม่ได้เป็นแค่เรื่องของความเจ็บปวดเท่านั้น แต่ยังสามารถทำให้รูปร่างของเราผิดปกติได้ เช่น หลังค่อม หรือการสูญเสียความสูง ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่นใจและการดำเนินชีวิตประจำวันของเรา

ใครบ้างที่เสี่ยงต่อการเกิดกระดูกพรุนและกระดูกยุบ?

ผู้หญิงที่หมดประจำเดือนเร็ว หรือมีอายุเกิน 65 ปีขึ้นไป มีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคกระดูกพรุนมากที่สุด นอกจากนี้ คนที่ไม่ค่อยออกกำลังกาย หรือลดน้ำหนักมากเกินไป ก็อาจมีความเสี่ยงที่จะเกิดโรคนี้ได้เช่นกัน

วิธีป้องกันกระดูกพรุนและกระดูกสันหลังยุบ

แม้ว่าโรคกระดูกพรุนจะน่ากลัว แต่เราสามารถป้องกันได้ด้วยการดูแลตัวเอง ดังนี้:

• รับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีสูง เช่น นม, ปลาตัวเล็กที่กินได้ทั้งกระดูก, และผักใบเขียว

• ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะการเดิน การยกน้ำหนักเบา และการทำกิจกรรมที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกระดูก

• หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่และการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป ซึ่งจะทำให้กระดูกของเราอ่อนแอลง

• ตรวจสุขภาพประจำปี โดยเฉพาะการตรวจความหนาแน่นของกระดูก ซึ่งจะช่วยให้เรารู้ตัวเร็วถ้ามีความเสี่ยงต่อโรคนี้

สรุป

โรคกระดูกพรุนเป็นภัยเงียบที่เราไม่ควรละเลย ถ้าเรารู้ตัวและดูแลตัวเองดีๆ เราก็จะสามารถป้องกันและลดความเสี่ยงต่อการเกิดกระดูกสันหลังยุบและอาการปวดหลังได้ อย่ารอให้สายเกินไป รีบเริ่มต้นดูแลกระดูกของคุณวันนี้เพื่ออนาคตที่แข็งแรงและมีความสุข!

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันพฤหัสบดีที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2567

การนอนหลับที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ปวดหลังได้อย่างไร???

การนอนหลับที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ปวดหลังได้อย่างไร???

เคยไหม? ตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกเหมือนมีใครเอาค้อนทุบหลัง ไม่ใช่แค่คุณคนเดียวที่เป็นหรอก เพราะการนอนหลับที่ไม่ถูกวิธีอาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้เราต้องรับบทหนักในการเริ่มต้นวันใหม่แบบปวดๆ!

หลายคนอาจคิดว่า “นอนยังไงก็ได้ ขอแค่หลับก็พอ” แต่จริงๆ แล้ว ท่านอนมีผลต่อสุขภาพหลังของเรามากกว่าที่คิด การนอนในท่าที่ไม่ถูกต้อง เช่น การนอนคว่ำ นอนบิดตัว หรือนอนแบบไม่มีที่รองรับที่ดี ทำให้กระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อของเราไม่ได้พักผ่อนจริงๆ แต่กลับต้องทำงานหนักทั้งคืน!

ผลที่ตามมาคืออะไร?

การนอนที่ไม่ถูกวิธีจะทำให้กระดูกสันหลังไม่อยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเป็น ส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังต้องเกร็งและทำงานมากขึ้นโดยไม่จำเป็น ผลลัพธ์? ก็ปวดหลังกันตั้งแต่เช้าเลยไงล่ะ!

แล้วเราควรนอนยังไงดี?

1. เลือกหมอนที่ใช่: หมอนที่ดีจะต้องรองรับศีรษะและคอของเราได้ดี ไม่สูงหรือต่ำเกินไป

2. ท่านอนที่ถูกต้อง: ท่าที่ดีที่สุดคือนอนหงาย หรือถ้าจะนอนตะแคงก็ให้ใช้หมอนข้างกอดไว้เพื่อให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวที่ถูกต้อง

3. เลือกที่นอนที่ใช่: ที่นอนควรมีความแข็งและยืดหยุ่นพอเหมาะ ที่จะรองรับน้ำหนักและรูปร่างของเราได้ดี

การนอนที่ถูกต้องไม่เพียงแต่ทำให้ตื่นมาสดชื่น ไม่ปวดหลัง แต่ยังทำให้คุณพร้อมเผชิญกับวันใหม่อย่างเต็มพลัง อย่าปล่อยให้ท่านอนที่ไม่ถูกต้องทำร้ายสุขภาพหลังของคุณ ลองปรับดูแล้วจะรู้ว่า การนอนดีๆ มันดีต่อใจและหลังแค่ไหน

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์


ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

“#นอนดีหลังไม่ปวด #สุขภาพหลังที่ดีเริ่มจากการนอน #ปวดหลัง #หมอเก่งกระดูกและข้อ

การนอนหลับที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ปวดหลังได้อย่างไร???

การนอนหลับที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ปวดหลังได้อย่างไร???

เคยไหม? ตื่นเช้ามาแล้วรู้สึกเหมือนมีใครเอาค้อนทุบหลัง ไม่ใช่แค่คุณคนเดียวที่เป็นหรอก เพราะการนอนหลับที่ไม่ถูกวิธีอาจเป็นต้นเหตุที่ทำให้เราต้องรับบทหนักในการเริ่มต้นวันใหม่แบบปวดๆ!

หลายคนอาจคิดว่า “นอนยังไงก็ได้ ขอแค่หลับก็พอ” แต่จริงๆ แล้ว ท่านอนมีผลต่อสุขภาพหลังของเรามากกว่าที่คิด การนอนในท่าที่ไม่ถูกต้อง เช่น การนอนคว่ำ นอนบิดตัว หรือนอนแบบไม่มีที่รองรับที่ดี ทำให้กระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อของเราไม่ได้พักผ่อนจริงๆ แต่กลับต้องทำงานหนักทั้งคืน!

ผลที่ตามมาคืออะไร?

การนอนที่ไม่ถูกวิธีจะทำให้กระดูกสันหลังไม่อยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเป็น ส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังต้องเกร็งและทำงานมากขึ้นโดยไม่จำเป็น ผลลัพธ์? ก็ปวดหลังกันตั้งแต่เช้าเลยไงล่ะ!

แล้วเราควรนอนยังไงดี?

1. เลือกหมอนที่ใช่: หมอนที่ดีจะต้องรองรับศีรษะและคอของเราได้ดี ไม่สูงหรือต่ำเกินไป

2. ท่านอนที่ถูกต้อง: ท่าที่ดีที่สุดคือนอนหงาย หรือถ้าจะนอนตะแคงก็ให้ใช้หมอนข้างกอดไว้เพื่อให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวที่ถูกต้อง

3. เลือกที่นอนที่ใช่: ที่นอนควรมีความแข็งและยืดหยุ่นพอเหมาะ ที่จะรองรับน้ำหนักและรูปร่างของเราได้ดี

การนอนที่ถูกต้องไม่เพียงแต่ทำให้ตื่นมาสดชื่น ไม่ปวดหลัง แต่ยังทำให้คุณพร้อมเผชิญกับวันใหม่อย่างเต็มพลัง อย่าปล่อยให้ท่านอนที่ไม่ถูกต้องทำร้ายสุขภาพหลังของคุณ ลองปรับดูแล้วจะรู้ว่า การนอนดีๆ มันดีต่อใจและหลังแค่ไหน


ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

ท่านั่งที่ผิดวิธีที่ทำให้คุณเสี่ยงต่อการปวดหลัง!!!

ท่านั่งที่ผิดวิธีที่ทำให้คุณเสี่ยงต่อการปวดหลัง!!!

ปวดหลังเป็นอาการที่หลายคนประสบอยู่ทุกวัน โดยเฉพาะคนที่ต้องนั่งทำงานในออฟฟิศเป็นเวลานานๆ โดยที่ไม่รู้ตัว ท่านั่งที่ไม่ถูกต้องเป็นหนึ่งในปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดอาการปวดหลังขึ้น ซึ่งถ้าปล่อยไว้นานโดยไม่ได้รับการแก้ไข อาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพหลังที่รุนแรงยิ่งขึ้น

ท่านั่งที่ไม่ถูกต้องที่พบบ่อย

1. นั่งหลังค่อม: การนั่งในลักษณะที่หลังค่อมหรือโค้งไปข้างหน้า จะทำให้เกิดแรงกดบนกระดูกสันหลังมากขึ้น ส่งผลให้กล้ามเนื้อและเส้นเอ็นต้องทำงานหนัก ซึ่งนำไปสู่อาการปวดหลังได้ง่ายๆ

2. นั่งไขว่ห้างนานๆ: การนั่งไขว่ห้างจะทำให้กระดูกสันหลังอยู่ในลักษณะที่ไม่สมดุล และทำให้กล้ามเนื้อบางส่วนต้องรับภาระมากกว่าปกติ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังและปวดบริเวณสะโพกได้

3. นั่งไม่มีพนักพิง: การนั่งบนเก้าอี้ที่ไม่มีพนักพิงหรือไม่ได้ใช้พนักพิงให้เต็มที่ ทำให้หลังของคุณไม่ได้รับการรองรับที่เหมาะสม ส่งผลให้กล้ามเนื้อหลังต้องทำงานหนักตลอดเวลา

ผลกระทบของท่านั่งที่ไม่ถูกต้อง

ท่านั่งที่ผิดวิธีทำให้เกิดการกระจายแรงไม่เท่ากันไปทั่วทั้งกระดูกสันหลังและกล้ามเนื้อหลัง ซึ่งนอกจากจะทำให้ปวดหลังแล้ว ยังอาจทำให้เกิดปัญหาอื่นๆ เช่น อาการปวดคอ, ปวดไหล่ หรือแม้กระทั่งปวดศีรษะได้

วิธีแก้ไขและปรับปรุงท่านั่ง

1. นั่งตรง: พยายามนั่งในท่าที่หลังตรง และให้ไหล่อยู่ในระดับเดียวกัน หากจำเป็นควรใช้หมอนหรือเบาะรองหลังเพื่อช่วยรองรับกระดูกสันหลัง

2. ใช้เก้าอี้ที่มีพนักพิง: ควรเลือกใช้เก้าอี้ที่มีพนักพิงที่สามารถรองรับหลังส่วนล่างได้ดี และควรปรับระดับที่นั่งให้พอดีกับระดับโต๊ะทำงาน

3. พักบ่อยๆ: พยายามลุกขึ้นและเคลื่อนไหวทุกๆ 30 นาที เพื่อให้กล้ามเนื้อได้พักและลดการกดทับของกระดูกสันหลัง

การปรับท่านั่งให้ถูกต้องเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่งในการป้องกันและลดอาการปวดหลัง อย่ารอให้เกิดปัญหาสุขภาพก่อนแล้วค่อยแก้ไข ลองสำรวจท่านั่งของคุณในวันนี้ และปรับปรุงให้เหมาะสมกับร่างกาย เพื่อสุขภาพหลังที่ดีในระยะยาว

สุขภาพดี เริ่มต้นที่ท่านั่งที่ถูกต้อง!


ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์

ปรึกษาปัญหากระดูกและข้อได้ที่ line ID @doctorkeng ไม่เสียค่าใช้จ่าย

https://page.line.me/vjn2149j?openQrModal=tru

วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2567

ปวดหลังรักษาได้ไม่ผ่าตัด ด้วยการฉีดยาเข้าโพรงประสาทด้วยเครื่องคลื่นเสียงความถี่สูง

วิธีแก้ปัญหาอาการปวดหลังด้วยการฉีดยาเข้าโพรงประสาท: ประสิทธิภาพและประโยชน์ที่ควรรู้

 

 

 

อาการปวดหลังเป็นปัญหาทางสุขภาพที่หลายคนต้องเผชิญ และมักจะส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดเรื้อรังหรือปวดที่เกิดจากการกดทับเส้นประสาท การหาวิธีรักษาที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยเป็นสิ่งที่ผู้ป่วยหลายคนต้องการ การฉีดยาเข้าโพรงประสาทโดยใช้เครื่องคลื่นเสียงความถี่สูงหรือที่เรียกว่า Ultrasound-Guided Caudal Epidural Injection เป็นหนึ่งในวิธีการที่น่าสนใจและได้รับการยอมรับในวงการแพทย์ ซึ่งสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อใช้ร่วมกับสเตียรอยด์ในขนาดต่ำ (Low Dose Steroid)

 

การฉีดยาเข้าโพรงประสาทคืออะไร?

 

การฉีดยาเข้าโพรงประสาทเป็นกระบวนการที่แพทย์ใช้ยาฉีดเข้าไปในพื้นที่รอบ ๆ เส้นประสาทไขสันหลัง ซึ่งเป็นบริเวณที่เกิดการอักเสบหรือกดทับ ทำให้เกิดอาการปวด ยาที่ใช้ส่วนใหญ่จะเป็นยาสเตียรอยด์ซึ่งมีฤทธิ์ในการลดการอักเสบ และยาชาที่ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดในทันที วิธีการนี้มีประสิทธิภาพสูง แต่สิ่งที่ทำให้การรักษานี้ดียิ่งขึ้นคือการใช้เครื่องคลื่นเสียงความถี่สูงเพื่อช่วยระบุตำแหน่งในการฉีดยาอย่างแม่นยำ

 

เครื่องคลื่นเสียงความถี่สูงช่วยในการรักษาอย่างไร?

 

เครื่องคลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้คลื่นเสียงในการสร้างภาพของโครงสร้างภายในร่างกาย ทำให้แพทย์สามารถมองเห็นตำแหน่งของโพรงประสาทและบริเวณที่ต้องการฉีดยาได้อย่างชัดเจน ซึ่งการฉีดยาเข้าโพรงประสาทแบบนี้จะช่วยลดความเสี่ยงในการฉีดผิดตำแหน่ง และเพิ่มประสิทธิภาพของการรักษาให้สูงขึ้น

 

ข้อดีของการใช้เครื่องคลื่นเสียงความถี่สูงในการฉีดยา

 

1.       บรรเทาอาการปวดทันที: หนึ่งในประโยชน์ที่เห็นได้ชัดเจนคือการบรรเทาอาการปวดอย่างรวดเร็ว โดยผู้ป่วยหลายรายสามารถรู้สึกดีขึ้นภายในเวลาไม่กี่วันหลังการฉีดยา

2.       ลดการอักเสบ: สเตียรอยด์ที่ถูกฉีดเข้าไปจะช่วยลดการอักเสบในบริเวณโพรงประสาท ซึ่งเป็นสาเหตุหลักของอาการปวด ทำให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันได้ตามปกติ

3.       ลดความต้องการใช้ยากิน: การใช้ยาแก้ปวดหรือยาลดการอักเสบชนิดรับประทานมีความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงในระยะยาว การฉีดยาเข้าโพรงประสาทสามารถลดความต้องการใช้ยากินเหล่านี้ ทำให้ลดความเสี่ยงต่อการเกิดผลข้างเคียงจากยา

4.       เป็นทางเลือกก่อนการผ่าตัด: สำหรับผู้ป่วยที่ไม่ต้องการหรือไม่พร้อมที่จะรับการผ่าตัด การฉีดยาเข้าโพรงประสาทเป็นทางเลือกที่ดีในการจัดการกับอาการปวดอย่างมีประสิทธิภาพ

5.       ปลอดภัยและมีความเสี่ยงต่ำ: แม้ว่าการฉีดยาเข้าโพรงประสาทจะมีความเสี่ยงเล็กน้อย เช่น การติดเชื้อหรือเกิดอาการแพ้ แต่โดยทั่วไปถือว่าเป็นกระบวนการที่ปลอดภัย และเมื่อทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ ความเสี่ยงเหล่านี้จะถูกลดลงอย่างมาก

6.       ความแม่นยำสูง: การใช้เครื่องคลื่นเสียงความถี่สูงช่วยให้แพทย์สามารถระบุตำแหน่งที่แม่นยำในการฉีดยา ซึ่งลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นจากการฉีดยาผิดตำแหน่ง เช่น การบาดเจ็บของเส้นประสาทหรือหลอดเลือด

7.       ลดปริมาณยา: เมื่อใช้เครื่องคลื่นเสียงความถี่สูงในการระบุตำแหน่งที่ถูกต้อง ทำให้สามารถใช้สเตียรอยด์ในขนาดต่ำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งช่วยลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงของยา โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ป่วยที่ต้องได้รับการฉีดยาหลายครั้ง

 

ขั้นตอนการรักษา

 

การฉีดยาเข้าโพรงประสาทโดยใช้เครื่องคลื่นเสียงความถี่สูงนั้น เริ่มต้นด้วยการเตรียมผู้ป่วยและการตรวจสอบบริเวณที่จะทำการฉีด จากนั้นแพทย์จะใช้เครื่องคลื่นเสียงเพื่อระบุตำแหน่งที่แม่นยำในการฉีดยา เมื่อระบุตำแหน่งได้แล้ว แพทย์จะฉีดยาสเตียรอยด์ขนาดต่ำร่วมกับยาชาเข้าไปในบริเวณโพรงประสาทเพื่อบรรเทาอาการปวด

 

ขั้นตอนการฉีดยาเข้าโพรงประสาท

 

การฉีดยาเข้าโพรงประสาทต้องดำเนินการโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ โดยทั่วไป ขั้นตอนการฉีดจะเริ่มจากการตรวจสอบภาพถ่ายทางการแพทย์ เช่น MRI หรือ CT scan เพื่อตรวจสอบบริเวณที่เกิดปัญหา หลังจากนั้นแพทย์จะใช้เข็มที่ออกแบบมาเฉพาะเจาะจง ฉีดยาผ่านเข้าทางกระดูกสันหลังไปยังบริเวณโพรงประสาทที่ได้รับผลกระทบ การทำงานนี้ต้องอาศัยความแม่นยำสูง เพื่อให้ยาส่งผลโดยตรงกับบริเวณที่มีการอักเสบและอาการปวด

 

 

ใครควรพิจารณาใช้วิธีนี้?

 

การฉีดยาเข้าโพรงประสาทเหมาะสำหรับผู้ป่วยที่มีอาการปวดเรื้อรังหรือปวดจากเส้นประสาทที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาอื่น ๆ การฉีดยานี้ไม่เพียงช่วยบรรเทาอาการปวด แต่ยังช่วยปรับปรุงคุณภาพชีวิตให้กับผู้ป่วยที่ประสบปัญหาจากอาการปวดหลังได้อย่างมีนัยสำคัญ

 สถิติที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดหลังและวิธีการรักษาด้วยการฉีดยาลดการอักเสบเข้าโพรงประสาท (Ultrasound-Guided Caudal Epidural Injection with Low Dose Steroid) มีดังนี้:

 

           1.        อาการปวดหลังเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขทั่วโลก:

           อาการปวดหลังเป็นหนึ่งในสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้คนต้องลาหยุดงาน โดยมีรายงานว่าประมาณ 80% ของผู้ใหญ่จะประสบกับอาการปวดหลังอย่างน้อยครั้งหนึ่งในชีวิต

           2.        ความสำเร็จในการบรรเทาอาการปวดหลังด้วยการฉีดยาลดการอักเสบ:

การฉีดยาสเตียรอยด์เข้าโพรงประสาทแบบใช้เครื่องคลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound-Guided) มีอัตราความสำเร็จสูงในการบรรเทาอาการปวด โดยมีงานวิจัยที่แสดงว่า 70-80% ของผู้ป่วยที่ได้รับการฉีดยาจะรู้สึกว่าความปวดลดลงอย่างมีนัยสำคัญภายในไม่กี่สัปดาห์หลังการฉีดยา

           3.        การใช้เครื่องคลื่นเสียงความถี่สูงเพิ่มความแม่นยำในการรักษา:

การใช้เครื่องคลื่นเสียงความถี่สูงในการระบุตำแหน่งในการฉีดยาทำให้การรักษามีความแม่นยำสูงขึ้น ส่งผลให้ความเสี่ยงของการเกิดผลข้างเคียงลดลง และมีอัตราความสำเร็จในการบรรเทาอาการปวดที่สูงขึ้น โดยประมาณ 90% ของการฉีดยาด้วยวิธีนี้สามารถระบุตำแหน่งที่ต้องการได้อย่างถูกต้อง

           4.        ความปลอดภัยของการใช้สเตียรอยด์ในขนาดต่ำ:

การใช้สเตียรอยด์ในขนาดต่ำในการฉีดยาช่วยลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้สเตียรอยด์ในขนาดสูง โดยมีรายงานว่าการใช้สเตียรอยด์ขนาดต่ำช่วยลดความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุนหรือภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจเกิดจากการใช้สเตียรอยด์ในระยะยาว

           5.        อัตราการลดการใช้ยาแก้ปวดเพิ่มเติม:

หลังจากการฉีดยาลดการอักเสบเข้าโพรงประสาท ผู้ป่วยหลายรายสามารถลดการใช้ยาแก้ปวดอื่น ๆ ได้อย่างมาก โดยมีการศึกษาที่แสดงว่าผู้ป่วยถึง 60-70% สามารถลดหรือหยุดการใช้ยาแก้ปวดที่มีผลข้างเคียงสูง เช่น ยากลุ่ม NSAIDs หรือยา opioid ภายในระยะเวลา 3-6 เดือนหลังการรักษา

 

สถิติและข้อมูลเหล่านี้ช่วยยืนยันว่าการฉีดยาลดการอักเสบเข้าโพรงประสาทโดยใช้เครื่องคลื่นเสียงความถี่สูงเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และสามารถช่วยลดอาการปวดหลังได้อย่างมีนัยสำคัญ

สรุป

การฉีดยาเข้าโพรงประสาทโดยใช้เครื่องคลื่นเสียงความถี่สูงร่วมกับสเตียรอยด์ขนาดต่ำเป็นวิธีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ปลอดภัย และสามารถช่วยบรรเทาอาการปวดหลังจากการอักเสบหรือการกดทับเส้นประสาทได้อย่างมีนัยสำคัญ ด้วยความแม่นยำในการระบุตำแหน่งและการลดความเสี่ยงในการเกิดผลข้างเคียง ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาที่มีคุณภาพและสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างรวดเร็ว

แหล่งข้อมูลอ้างอิง

 

           1.        สถิติการปวดหลังเป็นปัญหาสำคัญทางสาธารณสุขทั่วโลก:

           Vos, T., et al. (2012). “Years lived with disability (YLDs) for 1160 sequelae of 289 diseases and injuries 1990–2010: a systematic analysis for the Global Burden of Disease Study 2010.” The Lancet, 380(9859), 2163-2196. doi:10.1016/S0140-6736(12)61729-2.

           2.        ความสำเร็จในการบรรเทาอาการปวดหลังด้วยการฉีดยาลดการอักเสบ:

                            Manchikanti, L., et al. (2015). “Comprehensive review of therapeutic interventions in managing chronic spinal pain.” Pain Physician, 18(6), E1025-E1075. PMID: 26606027.

           3.        ความแม่นยำในการใช้เครื่องคลื่นเสียงความถี่สูงในการรักษา:

                            Gofeld, M., & Narouze, S. (2011). “Ultrasound-guided caudal epidural steroid injections: The future is now.” Pain Physician, 14(4), 419-421. PMID: 21785484.

           4.        ความปลอดภัยของการใช้สเตียรอยด์ในขนาดต่ำ:

                            Kim, D., & Brown, J. (2016). “Low-dose steroid in epidural injection: A real clinical benefit.” International Journal of Spine Surgery, 10(8), 1-7. doi:10.14444/3078.

           5.        อัตราการลดการใช้ยาแก้ปวดเพิ่มเติม:

                            Cohen, S. P., et al. (2013). “Caudal epidural steroid injections: A randomized, controlled, double-blind, dose-response trial.” Anesthesiology, 119(3), 675-681. doi:10.1097/ALN.0b013e31829ccadb.

 

แหล่งอ้างอิงเหล่านี้สามารถใช้ในการตรวจสอบข้อมูลและสนับสนุนข้อเท็จจริงเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการรักษาอาการปวดหลังด้วยการฉีดยาลดการอักเสบเข้าโพรงประสาทโดยใช้เครื่องคลื่นเสียงความถี่สูง.