วันเสาร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2568

Tarlov Cyst เจอจาก MRI...ใช่สาเหตุของปวดหลังจริงไหม หรือแค่บังเอิญ?


 Tarlov Cyst เจอจาก MRI...ใช่สาเหตุของปวดหลังจริงไหม หรือแค่บังเอิญ?

"หมอคะ หนูไปตรวจ MRI มา แล้วเขาบอกว่ามีก้อนที่เรียกว่า Tarlov Cyst อยู่ที่กระดูกก้นกบ น่ากลัวไหมคะ? มันเป็นสาเหตุของอาการปวดหลังหนูหรือเปล่า?"

เป็นคำถามจากคนไข้หญิงอายุประมาณ 40 ปี ที่มีอาการปวดหลังเรื้อรังมาหลายเดือน

เมื่ออ่านผล MRI แล้วเจอคำว่า "Tarlov Cyst" หลายคนก็ตกใจ เพราะฟังดูเหมือนเป็นก้อนเนื้องอก หรือสิ่งผิดปกติในไขสันหลัง

หมอเลยอยากเล่าให้ฟังครับว่า...จริง ๆ แล้ว "Tarlov Cyst" เป็นเรื่องที่เจอได้บ่อยกว่าที่คิด และไม่จำเป็นต้องน่ากลัวเสมอไปครับ

Tarlov Cyst คืออะไร?

Tarlov Cyst หรือชื่อเต็มว่า "Perineural cyst" คือ ถุงน้ำเล็ก ๆ ที่พบบริเวณรากประสาทไขสันหลัง โดยเฉพาะที่บริเวณกระเบนเหน็บ หรือ sacrum (บริเวณก้นกบ)

ถุงนี้มีของเหลวคล้าย ๆ น้ำหล่อสมองไขสันหลัง (CSF) อยู่ภายใน

บางคนมีหลายถุง บางคนมีแค่ 1 ถุง และส่วนใหญ่มีขนาดเล็กไม่ถึง 1 ซม.

เป็นเรื่องผิดปกติไหม?

Tarlov Cyst ถือเป็นถุงน้ำที่ "พบโดยบังเอิญ" ใน MRI ได้บ่อย โดยเฉพาะในผู้ที่ตรวจหลังจากมีอาการปวดหลังเรื้อรัง

แต่ในความเป็นจริง...มีคนจำนวนมากที่มีถุงนี้อยู่โดยไม่เคยมีอาการอะไรเลย

ดังนั้น การพบถุงนี้ ไม่ได้แปลว่าเป็นโรคร้าย หรือเป็นสาเหตุของอาการเสมอไปครับ

แล้วมันทำให้ปวดหลังได้ไหม?

คำตอบคือ... "ได้ แต่ไม่บ่อย"

ส่วนใหญ่ Tarlov Cyst ไม่ทำให้เกิดอาการ

แต่ในบางรายที่ถุงมีขนาดใหญ่ หรืออยู่ในตำแหน่งที่ไปกดเบียดเส้นประสาท อาจทำให้เกิดอาการเช่น:

  • ปวดหลังล่าง
  • ร้าวลงขา
  • ชา หรืออ่อนแรงบางส่วน
  • ปวดก้นกบเวลานั่งนาน ๆ
  • หรือในบางกรณีอาจมีปัญหาขับถ่ายหรือการควบคุมปัสสาวะผิดปกติ

แต่ต้องย้ำว่า...อาการเหล่านี้เกิดขึ้นได้ "น้อยมาก" เมื่อเทียบกับจำนวนคนที่มี Tarlov Cyst จริง ๆ

จะรู้ได้อย่างไรว่ามันเป็นสาเหตุของอาการปวดหลังหรือไม่?

  1. ตำแหน่งของถุงน้ำต้องสัมพันธ์กับอาการ เช่น ถ้าปวดร้าวลงขาขวา แต่ถุงอยู่ด้านซ้าย ก็มักไม่ใช่
  2. ขนาดของถุงน้ำ – ถ้ามีขนาดเล็กมาก (ไม่ถึง 1 ซม.) และไม่มีลักษณะกดเบียดเส้นประสาทในภาพ MRI ก็มักไม่ใช่สาเหตุหลัก
  3. อาการต้องเฉพาะเจาะจง – เช่น ปวดแบบเส้นประสาทอักเสบ ชาแปล๊บ หรือขาอ่อนแรงร่วมด้วย
  4. ต้องตัดสาเหตุอื่น ๆ ออกก่อน – เช่น หมอนรองกระดูกเคลื่อน, ข้อต่ออักเสบ หรือกล้ามเนื้อเกร็งตัว

แนวทางการรักษาเป็นอย่างไร?

ในกรณีที่ Tarlov Cyst ไม่ได้ก่ออาการ:

  • ไม่ต้องรักษาอะไรครับ แค่ติดตามอาการก็พอ
  • ไม่จำเป็นต้องผ่าตัดหรือดูดน้ำออก เพราะเสี่ยงมากกว่าผลดี

แต่ถ้ามั่นใจว่าถุงนี้เป็นสาเหตุของอาการจริง:

  • อาจเริ่มจากการรักษาแบบประคับประคอง เช่น ยาแก้ปวด การทำกายภาพบำบัด
  • ในบางรายที่รุนแรงมาก อาจพิจารณาการฉีดยาชาหรือยาสเตียรอยด์เข้าไปบริเวณรากประสาทที่ถูกกดทับ โดยใช้ ultrasound หรือ fluoroscope นำทาง
  • การผ่าตัดเป็นทางเลือกสุดท้าย และต้องทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกระดูกสันหลังเท่านั้น

หมอสรุปให้นะครับ

การเจอ Tarlov Cyst ใน MRI ไม่ได้แปลว่าเป็นต้นเหตุของอาการปวดหลังเสมอไป

คนส่วนใหญ่ที่พบถุงนี้ ไม่มีอาการ และไม่จำเป็นต้องทำอะไร

แต่ถ้ามีอาการชัดเจน และตำแหน่งถุงสัมพันธ์กับอาการ หมอจะช่วยประเมินอย่างละเอียด และเลือกแนวทางที่เหมาะสมที่สุดให้ครับ

อย่าเพิ่งตกใจเมื่อเห็นคำว่า Tarlov Cyst เพราะในหลาย ๆ กรณี มันเป็นแค่ "ของแถม" ที่ไม่ได้ก่อปัญหาอะไรเลยครับ

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่

ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง)

ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ

สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ

📱 Line ID: @doctorkeng โทร 081-5303666

#TarlovCystคืออะไร #ปวดหลังเรื้อรัง #ตรวจMRIเจอถุงน้ำ #หมอกระดูก #หมอเก่งกระดูกและข้อ

วันศุกร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2568

กระดูกสันหลังเคลื่อน L4-L5... มีผลต่อ "เรื่องบนเตียง" ไหม? ท่าไหนปลอดภัย ท่าไหนต้องเลี่ยง?

 

กระดูกสันหลังเคลื่อน L4-L5... มีผลต่อ "เรื่องบนเตียง" ไหม? ท่าไหนปลอดภัย ท่าไหนต้องเลี่ยง?

"หมอครับ... ตั้งแต่รู้ว่ากระดูกหลังเคลื่อน ผมไม่กล้าทำการบ้านกับภรรยาเลยครับ กลัวขยับผิดท่าแล้วหลังจะเดาะ หรือกระดูกมันจะหลุดออกมามากกว่าเดิม เรื่องนี้มันมีผลกระทบไหมครับ?"

นี่เป็นคำถามที่คนไข้หลายท่านอยากถามแต่ไม่กล้าพูดครับ หมอขอบอกเลยว่า เรื่องเพศสัมพันธ์เป็นส่วนหนึ่งของคุณภาพชีวิตที่ดี และโรคปวดหลังไม่ควรเป็นอุปสรรคในการมีความสุขกับคู่ชีวิตครับ

สำหรับผู้ที่มีภาวะ "กระดูกสันหลังเคลื่อน" (Spondylolisthesis) โดยเฉพาะตรงเอวข้อที่ 4-5 (L4-L5) หลักการสำคัญคือ "ห้ามแอ่นหลัง" ครับ เพราะการแอ่นจะยิ่งส่งเสริมให้กระดูกข้อบนไถลตัวไปข้างหน้ามากขึ้น

วันนี้หมอเก่งจะมาไขข้อข้องใจ และแนะนำการปรับท่าทางที่ปลอดภัยต่อกระดูกสันหลังครับ

โรคนี้ทำให้ "เสื่อมสมรรถภาพ" ไหม?

โดยตัวโรคกระดูกเคลื่อนเอง "ไม่ได้ทำให้เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ" ครับ อวัยวะเพศยังแข็งตัวและมีความรู้สึกได้ตามปกติ (ยกเว้นในรายที่เป็นรุนแรงมากจนกดทับเส้นประสาทควบคุมการขับถ่ายและอวัยวะเพศ ซึ่งพบน้อยมากและต้องผ่าตัดด่วน)

แต่สิ่งที่ทำให้สมรรถภาพดูเหมือนลดลง คือ "ความปวด" และ "ความกลัว" ครับ พอขยับแล้วเจ็บ หรือกังวลว่าจะเจ็บ ร่างกายก็จะตอบสนองได้ไม่เต็มที่

ท่าที่ "อันตราย" และควรเลี่ยง (Red Zone) ❌

จำหลักการง่ายๆ ไว้ว่า "ท่าไหนที่ทำให้หลังแอ่น ท่านั้นคือศัตรู" ครับ

  1. ท่าที่ต้องแอ่นหลังรับน้ำหนัก: สำหรับฝ่ายชาย ถ้าต้องยืนหรือคุกเข่าในท่าที่หลังแอ่นมากๆ เพื่อสอดใส่ จะทำให้แรงกดที่ข้อต่อกระดูกสันหลัง (Facet Joint) สูงมาก และกระดูกอาจเคลื่อนเพิ่มได้
  2. ท่าที่ฝ่ายหญิงนอนคว่ำราบ: สำหรับฝ่ายหญิงที่เป็นโรคนี้ การนอนคว่ำราบกับเตียงจะทำให้หลังแอ่นโดยอัตโนมัติ ยิ่งถ้ามีการกดทับจากด้านหลัง จะยิ่งปวดร้าวลงขาได้ทันที

ท่าที่ "แนะนำ" และปลอดภัย (Green Zone) ✅

เป้าหมายคือจัดท่าให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวตรง (Neutral) หรือก้มตัวเล็กน้อย (Flexion) เพื่อล็อคกระดูกไม่ให้เคลื่อน

1. ท่านอนตะแคง (Side-Lying / Spooning)

  • ทำอย่างไร: ทั้งคู่หันหน้าไปทางเดียวกัน (ท่าช้อน) โดยให้งอเข่าขึ้นมาเล็กน้อยทั้งคู่
  • ทำไมถึงดี: ท่านี้กระดูกสันหลังจะอยู่ในแนวตรงที่สุด ไม่มีการบิดหรือแอ่น และประหยัดแรง เป็นท่าที่หมอแนะนำเป็นอันดับ 1 สำหรับคนปวดหลังครับ

2. ท่านอนหงาย (Missionary) แบบประยุกต์

  • สำหรับฝ่ายหญิงที่เป็นโรค: ให้นอนหงาย แต่ต้อง "เอาหมอนใบใหญ่รองใต้เข่า" หรือชันเข่าขึ้น การงอเข่าจะช่วยให้กระดูกสันหลังส่วนเอวแนบชิดกับพื้นเตียง ลดความแอ่น และลดแรงกดทับเส้นประสาทได้ดีมาก
  • สำหรับฝ่ายชายที่เป็นโรค: ควรใช้ศอกหรือมือยันพื้นรับน้ำหนักตัวไว้ พยายามเกร็งหน้าท้องเล็กน้อยเพื่อให้หลังตรง ไม่ควรแอ่นเอวส่งแรง แต่ให้ใช้การโยกจากสะโพกแทน

3. ท่าสุนัข (Doggy Style) แบบดัดแปลง

  • ปกติท่านี้จะทำให้หลังแอ่นตกท้องช้าง ซึ่งไม่ดีครับ
  • วิธีแก้: ฝ่ายที่อยู่ด้านหน้า (ฝ่ายรับ) "ห้ามใช้มือยันพื้น" แต่ให้ "ลดตัวลงใช้ศอกยันพื้น" หรือนอนคว่ำเอาอกแนบหมอนใบใหญ่ๆ เพื่อให้หลังโค้งนูนขึ้นเล็กน้อย (คล้ายท่ากราบพระ) ท่านี้จะช่วยเปิดช่องกระดูกสันหลัง ทำให้สบายหลังขึ้นครับ

คำแนะนำเพิ่มเติมจากหมอ

  1. การสื่อสารสำคัญที่สุด: บอกคู่ของคุณตรงๆ ว่า "ท่านี้ผม/ฉันเจ็บ" หรือ "ขอลองท่านี้แทนนะ" ความเข้าใจจะช่วยลดความกังวลและทำให้ผ่อนคลายทั้งคู่ครับ
  2. ใช้หมอนช่วย: หมอนคืออุปกรณ์เสริมที่ดีที่สุดครับ เอามาหนุนหลัง หนุนเข่า หรือรองรับน้ำหนักในจุดที่ต้องการ จะช่วยลดภาระกล้ามเนื้อได้มาก
  3. ช่วงเวลา: เลือกช่วงเวลาที่ร่างกายพักผ่อนเต็มที่และอาการปวดน้อยที่สุด อาจทานยาแก้ปวดก่อนมีกิจกรรมสัก 30-60 นาที หรืออาบน้ำอุ่นเพื่อคลายกล้ามเนื้อก่อนก็ได้ครับ

บทสรุป

กระดูกหลังเคลื่อนไม่ใช่จุดจบของความสัมพันธ์ครับ เรายังสามารถมีความสุขได้เหมือนเดิม เพียงแค่ต้องปรับเปลี่ยนท่วงท่าให้เหมาะสมกับสรีระของเรา

จำไว้เสมอว่า "เน้นท่าที่หลังตรง หรืองอเข่าช่วย" และหลีกเลี่ยงการแอ่นหลังรุนแรง เพียงเท่านี้คุณก็สามารถดูแลความสัมพันธ์ไปพร้อมๆ กับการดูแลสุขภาพหลังได้อย่างสมดุลครับ

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng

#ปวดหลังกับเพศสัมพันธ์ #กระดูกหลังเคลื่อน #Spondylolisthesis #ดูแลสุขภาพหลัง #ครอบครัว #หมอเก่งกระดูกและข้อ #DoctorKeng

กระดูกสันหลังข้อ L4 เคลื่อนออกจาก L5 (3 มม.) แถมหมอนรองกระดูกทับเส้น! ... ต้องดูแลตัวเองอย่างไร ไม่ให้พังไปกว่าเดิม?

 





กระดูกสันหลังข้อ L4 เคลื่อนออกจาก L5 (3 มม.) แถมหมอนรองกระดูกทับเส้น! ... ต้องดูแลตัวเองอย่างไร ไม่ให้พังไปกว่าเดิม?

"หมอคะ ผล MRI บอกว่ากระดูกสันหลังข้อที่ 4 มันเลื่อนหลุดจากข้อที่ 5 ไปตั้ง 3 มิลลิเมตรแน่ะค่ะ แถมยังมีหมอนรองกระดูกปลิ้นออกมาทับเส้นประสาทด้วย... ฟังดูน่ากลัวมากเลยค่ะ กระดูกมันจะหลุดออกมาไหมคะ? หนูต้องนอนนิ่งๆ ห้ามขยับเลยหรือเปล่า?"

ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ... หมอเข้าใจครับว่าคำว่า "กระดูกเคลื่อน" ฟังดูสยองขวัญเหมือนตึกจะถล่ม แต่ในทางการแพทย์ การเคลื่อนระดับ 3 มิลลิเมตร ถือว่าเป็น "เกรด 1 (ระยะเริ่มต้น)" ครับ

เปรียบเหมือน "โบกี้รถไฟ" ที่มันปลดล็อคแล้วขยับออกจากกันนิดหน่อย แต่มันยังไม่ตกรางครับ รถไฟขบวนนี้ยังวิ่งต่อได้ เพียงแต่เราต้องขับนิ่มๆ และดูแลช่วงล่างให้ดีเป็นพิเศษ

วันนี้หมอเก่งจะมาบอก "คู่มือการใช้งานหลัง" ฉบับคนกระดูกเคลื่อน L4-L5 ให้ฟังครับ

ความจริงที่ต้องรู้: "เคลื่อน" + "ทับเส้น" คืออะไร?

ภาวะนี้คือ "ศึก 2 ด้าน" ครับ

  1. ความไม่มั่นคง (Instability): กระดูก L4 ที่เคลื่อนตัวไปข้างหน้า ทำให้หลังช่วงเอว "หลวม" และขยับผิดจังหวะได้ง่าย
  2. การกดทับ (Compression): พอขยับผิดที่ ก็ไปบีบหมอนรองกระดูกให้ปลิ้นไปกดทับเส้นประสาทด้านหลัง ทำให้มีอาการปวดร้าวลงขา หรือชา

เป้าหมายของเราคือ: ทำให้หลัง "นิ่ง" และ "แข็งแรง" เพื่อไม่ให้มันเลื่อนไปมากกว่า 3 มิล ครับ

กฎเหล็ก: 4 สิ่งที่ "ต้องห้าม" (ถ้าไม่อยากให้เคลื่อนเพิ่ม) ❌

  1. ห้าม "แอ่นหลัง" เยอะๆ:
    • ท่าโยคะท่าแมวน้ำ, ท่าสะพานโค้ง หรือการนอนคว่ำเล่นมือถือท่าแอ่นหลัง จะทำให้กระดูก L4 ยิ่งไถลไปข้างหน้ามากขึ้นครับ
    • ทริค: พยายามรักษาหลังให้ตรง (Neutral Spine) หรือก้มตัวนิดๆ จะสบายกว่า
  2. ห้าม "ยกของหนัก" (เด็ดขาด!):
    • แรงกดจากการยกของ จะบีบให้หมอนรองกระดูกปลิ้น และดันให้กระดูกเคลื่อนตัว
    • ถ้าจำเป็นต้องถือของ ให้ถือชิดลำตัวที่สุด และห้ามเกิน 2-3 กิโลกรัมในช่วงแรก
  3. ห้าม "บิดเอว" เร็วๆ:
    • เช่น วงสวิงกอล์ฟ, เอี้ยวตัวหยิบของเบาะหลังรถ หรือเต้นแอโรบิกท่าหมุนเอวแรงๆ
    • วิธีแก้: จะหันไปทางไหน ให้ "ก้าวเท้า" หมุนไปทั้งตัวครับ อย่าบิดแค่เอว
  4. ห้าม "กระแทก":
    • งดวิ่งมาราธอน, กระโดดเชือก หรือนั่งรถที่ขับตกหลุมบ่อยๆ แรงสะเทือนจะทำให้โครงสร้างที่หลวมอยู่แล้ว ยิ่งคลอนแคลนครับ

สิ่งที่ "ต้องทำ" (เพื่อให้กลับมาใช้ชีวิตได้) ✅

1. สร้าง "เข็มขัดธรรมชาติ" (Core Stabilization)

  • นี่คือยาขนานเอกครับ! ถ้ากล้ามเนื้อหน้าท้องและหลังแข็งแรง มันจะช่วย "ดึงรั้ง" กระดูก L4 ไว้ไม่ให้ไหลไปข้างหน้า
  • ท่าแนะนำ: ท่า "แขม่วท้องล็อคหลัง" (นอนหงายชันเข่า กดหลังแนบพื้น) ที่หมอเคยสอนไป ท่านี้ปลอดภัยที่สุดสำหรับคนกระดูกเคลื่อนครับ

2. ปรับท่านอน

  • นอนหงาย: ให้เอาหมอนใบใหญ่ๆ "รองใต้เข่า" เพื่อให้เข่างอเล็กน้อย ท่านี้จะช่วยลดความแอ่นของหลัง ทำให้ช่องกระดูกเปิดกว้างขึ้น เส้นประสาทไม่โดนบีบ
  • นอนตะแคง: กอดหมอนข้าง และงอเข่าคู้ตัวเล็กน้อย (ท่ากุ้ง) จะสบายหลังที่สุดครับ

3. การนั่ง

  • อย่านั่งเก้าอี้ที่นิ่มจนตัวจม หรือเก้าอี้ที่ไม่มีพนักพิง
  • ควรนั่งเก้าอี้ทำงานที่มีพนักดันหลัง (Lumbar Support) และนั่งให้ก้นชิดพนัก เพื่อล็อคกระดูกสันหลังไว้

สัญญาณอันตราย: เมื่อไหร่ต้องผ่าตัด? ⚠️

คนไข้ส่วนใหญ่ (กว่า 80%) อยู่กับภาวะนี้ได้โดยไม่ต้องผ่าตัดครับ แค่ปรับพฤติกรรมก็หายปวด แต่ถ้ามีอาการเหล่านี้ ต้องรีบมาคุยเรื่องผ่าตัดครับ:

  1. ขาอ่อนแรง: กระดกข้อเท้าไม่ขึ้น เดินแล้วขาพับ
  2. ระบบขับถ่ายพัง: กลั้นปัสสาวะ/อุจจาระไม่ได้ หรือชาบริเวณรอบก้น
  3. ปวดทรมาน: รักษาเต็มที่ 3-6 เดือนแล้ว ยังเดินไม่ได้ หรือใช้ชีวิตประจำวันไม่ได้เลย

บทสรุป

กระดูกเคลื่อน 3 มิลลิเมตร ไม่ใช่จุดจบครับ แต่เป็น "จุดเปลี่ยน" ให้เราหันมาทะนุถนอมหลังมากขึ้น จำง่ายๆ คือ "อย่ายกหนัก อย่าบิดเอว อย่าแอ่นหลัง" และหมั่น "แขม่วท้อง" บ่อยๆ

ถ้าคุณทำตามวินัยนี้ได้ กระดูกก็จะหยุดเคลื่อน อาการปวดจะหายไป และคุณจะอยู่กับมันได้อย่างสันติไปตลอดชีวิตครับ

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng

 #กระดูกสันหลังเคลื่อน #Spondylolisthesis #หมอนรองกระดูกทับเส้น #ปวดหลังร้าวลงขา #กายภาพบำบัด #หมอเก่งกระดูกและข้อ #DoctorKeng

ปวดหลัง "หมอนรองกระดูกทับเส้น" ออกกำลังกายท่าไหนดี? รวม 4 ท่าสร้าง "เกราะป้องกันหลัง" (ปลอดภัย ไม่เจ็บเพิ่ม)

 





ปวดหลัง "หมอนรองกระดูกทับเส้น" ออกกำลังกายท่าไหนดี? รวม 4 ท่าสร้าง "เกราะป้องกันหลัง" (ปลอดภัย ไม่เจ็บเพิ่ม)

"หมอครับ ผมเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้น ปวดหลังร้าวลงขา อยากออกกำลังกายให้หลังแข็งแรง แต่ไม่กล้าทำท่าซิทอัพ กลัวหลังพังกว่าเดิม มีท่าไหนแนะนำไหมครับ?"

นี่คือสิ่งที่คนไข้ถามหมอทุกวันครับ และหมอขอยืนยันตรงนี้เลยว่า "คนปวดหลัง ห้ามทำท่าซิทอัพ (Sit-up) เด็ดขาด!" เพราะการงอตัวแรงๆ จะยิ่งบีบหมอนรองกระดูกให้ปลิ้นออกมาทับเส้นประสาทมากขึ้น

แต่... การไม่ออกกำลังกายเลย ก็จะทำให้กล้ามเนื้อลีบ และปวดเรื้อรังไม่หายสักที

ทางออกคือการสร้าง "กล้ามเนื้อแกนกลางลำตัว" (Core Muscles) เปรียบเสมือนการสร้าง "เสื้อเกราะธรรมชาติ" (Natural Corset) มาพยุงกระดูกสันหลังไว้ครับ

วันนี้หมอเก่งคัดมาให้ 4 ท่าบริหาร ที่ออกแบบมาเพื่อคนปวดหลังโดยเฉพาะ เน้นความนิ่ง (Stability) ปลอดภัย และเห็นผลจริงครับ

กฎเหล็กก่อนเริ่ม (ต้องอ่าน!)

  1. ห้ามกลั้นหายใจ: ให้หายใจเข้า-ออก ลึกๆ ยาวๆ ตลอดเวลา
  2. หยุดทันทีถ้าเจ็บ: ถ้าทำแล้วปวดร้าวลงขา หรือปวดหลังจี๊ดๆ ให้หยุดทันที แสดงว่าเราอาจทำผิดท่า หรือร่างกายยังไม่พร้อม
  3. ทำบนที่นอนแข็ง หรือเสื่อโยคะ: ห้ามทำบนที่นอนนุ่มยุบยวบยาบ

ท่าที่ 1: แขม่วท้องล็อคหลัง (Abdominal Bracing)

นี่คือท่าพื้นฐานที่สุด แต่สำคัญที่สุด! เป็นการปลุกกล้ามเนื้อชั้นลึกให้ตื่น

วิธีทำ:

  1. นอนหงาย ชันเข่าขึ้นทั้งสองข้าง วางแขนข้างลำตัว
  2. หายใจเข้าลึกๆ ผ่อนคลายพุง
  3. หายใจออกยาวๆ พร้อมกับ "แขม่วท้อง" กดสะดือลงหาพื้นเตียง เกร็งหน้าท้องค้างไว้ (เหมือนตอนเราจะโดนต่อยท้อง)
  4. นับ 1-10 ในใจ (ห้ามกลั้นหายใจ ให้หายใจเข้าออกตื้นๆ ขณะเกร็งท้อง)
  5. ผ่อนคลาย ทำซ้ำ 10 ครั้ง

ท่าที่ 2: สะพานโค้งก้นเด้ง (Glute Bridge)

ท่านี้ช่วยสร้างกล้ามเนื้อก้นและหลังล่าง โดยไม่ต้องก้มหลัง ปลอดภัยมากครับ

วิธีทำ:

  1. นอนหงาย ชันเข่าขึ้น กางขาเท่าช่วงไหล่
  2. เกร็งหน้าท้อง (เหมือนท่าที่ 1)
  3. ออกแรง "ขมิบก้น" แล้วค่อยๆ ยกสะโพกลอยขึ้นจากพื้น จนลำตัวเป็นเส้นตรง (เข่า-สะโพก-ไหล่)
  4. ระวัง! อย่าดันเอวสูงจนหลังแอ่น ให้ใช้แรงจากก้น
  5. ค้างไว้ 5-10 วินาที ค่อยๆ วางก้นลง
  6. ทำซ้ำ 10 ครั้ง

ท่าที่ 3: ท่าสุนัขยืดแขนขา (Bird Dog - Beginner)

ท่านี้ช่วยฝึกการทรงตัวและกล้ามเนื้อหลังมัดลึก แต่ต้องระวังอย่าแอ่นหลัง

วิธีทำ:

  1. ตั้งท่าคลานสี่ขา (มืออยู่ใต้ไหล่ เข่าอยู่ใต้สะโพก) หลังตรงขนานพื้น (ไม่แอ่น ไม่โก่ง)
  2. เกร็งหน้าท้องล็อคหลังให้นิ่ง
  3. ค่อยๆ ยก "แขนขวา" ยืดไปข้างหน้า พร้อมกับ "ขาซ้าย" เหยียดไปข้างหลัง (แขนขาคนละฝั่ง)
  4. เคล็ดลับ: ไม่ต้องยกสูง! เอาแค่ระดับลำตัวพอ ถ้าหลังแอ่นแปลว่ายกสูงไป
  5. ค้างไว้ 3-5 วินาที แล้วกลับมาท่าเดิม สลับข้าง
  6. ทำซ้ำข้างละ 5-10 ครั้ง

ท่าที่ 4: แพลงก์แบบดัดแปลง (Modified Plank on Knees)

ท่าแพลงก์ปกติอาจโหดไปสำหรับคนปวดหลัง เรามาทำแบบใช้เข่าช่วยก่อนครับ

วิธีทำ:

  1. นอนคว่ำ ใช้ศอกยันพื้น (ศอกอยู่ใต้ไหล่)
  2. ใช้เข่าเป็นจุดหมุน ยกตัวขึ้นจากพื้น ให้ไหล่ถึงเข่าเป็นเส้นตรง
  3. เกร็งหน้าท้อง ขมิบก้น (อย่าให้ก้นโด่ง หรือหลังแอ่นตกท้องช้าง)
  4. ค้างไว้เท่าที่ไหว (เริ่มจาก 10-15 วินาที) แล้วค่อยๆ เพิ่มเวลา
  5. ทำซ้ำ 3-5 รอบ

บทสรุป

การออกกำลังกายสำหรับคนเป็นหมอนรองกระดูกทับเส้น ไม่จำเป็นต้องหนัก หรือเหงื่อท่วมครับ หัวใจสำคัญคือ "ความถูกต้อง" และ "ความสม่ำเสมอ"

แค่คุณทำ 4 ท่านี้ทุกวัน วันละ 10-15 นาที กล้ามเนื้อแกนกลางจะแข็งแรงขึ้น เปรียบเสมือนคุณใส่ "เข็มขัดพยุงหลัง" ธรรมชาติไว้ตลอดเวลา อาการปวดหลังจะค่อยๆ ดีขึ้น และกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจครับ

เริ่มวันนี้ วันละนิด ดีกว่านอนปวดอยู่เฉยๆ แน่นอนครับ หมอเอาใจช่วย!

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng

#กายภาพบำบัด #ปวดหลัง #หมอนรองกระดูกทับเส้น #ออกกำลังกายแก้ปวดหลัง #CoreStrengthening #หมอเก่งกระดูกและข้อ #DoctorKeng



ปวดร้าวลงขา! เป็น "กระดูกทับเส้น" หรือแค่ "สลักเพชรจม"? แยกให้ออกก่อนผ่าตัดฟรี!

 



ปวดร้าวลงขา! เป็น "กระดูกทับเส้น" หรือแค่ "สลักเพชรจม"? แยกให้ออกก่อนผ่าตัดฟรี!

"หมอคะ ป้าปวดก้นย้อยร้าวลงขามากเลย นั่งนานๆ ไม่ได้เลยค่ะ มันจี๊ดเหมือนไฟช็อต ไปหาหมอนวดเขาบอกว่าเป็น 'สลักเพชรจม' นวดกดจุดจนระบมไปหมดก็ไม่หาย เพื่อนบ้านบอกระวังเป็นกระดูกทับเส้นนะต้องผ่าตัด... ป้าเครียดจนนอนไม่หลับแล้วค่ะ ตกลงป้าเป็นอะไรกันแน่?"

คำถามนี้เป็น "คำถามปราบเซียน" ที่หมอเจอแทบทุกวันครับ

อาการ "ปวดร้าวลงขา" (Sciatica) เป็นเหมือนสัญญาณกันขโมยที่บอกว่า "เส้นประสาทขาของคุณกำลังถูกบีบ" ครับ แต่ประเด็นคือ... "ใครเป็นคนบีบ?"

  • ถ้าคนบีบคือ "กระดูกสันหลัง" = เรื่องใหญ่ (Herniated Disc)
  • แต่ถ้าคนบีบคือ "กล้ามเนื้อก้น" = เรื่องเล็ก (Piriformis Syndrome)

อาการมันคล้ายกันจนเหมือนฝาแฝด แต่การรักษาต่างกันราวฟ้ากับเหว

รู้จักกับเส้นทางเดินของ "สายไฟ" (Sciatic Nerve)

เส้นประสาทไซอาติก (Sciatic Nerve) คือเส้นประสาทที่ใหญ่และยาวที่สุดในร่างกายครับ

  • ต้นทาง: ออกมาจากกระดูกสันหลังส่วนเอว (L4-S3)
  • ระหว่างทาง: ลอดผ่านใต้กล้ามเนื้อก้นมัดลึก ที่ชื่อว่า "Piriformis" (กล้ามเนื้อรูปชมพู่)
  • ปลายทาง: วิ่งยาวลงไปที่ขา น่อง และเท้า

เปรียบเหมือน "สายยางรดน้ำ" ที่ต่อจากก๊อก (หลัง) ลากผ่านสนามหญ้า (ก้น) ไปหน้าบ้าน (ขา) น้ำจะไม่ไหล (ปวด/ชา) ได้จาก 2 กรณีครับ:

  1. โดนเหยียบที่ก๊อกน้ำ: คือ กระดูกสันหลังทับเส้น
  2. โดนเหยียบกลางสนามหญ้า: คือ กล้ามเนื้อก้นทับเส้น (สลักเพชรจม)

ถ้าเราเอาคนไข้ที่มีอาการ "ปวดร้าวลงขา" (Sciatica) เดินเข้ามาในคลินิก 100 คน:

  • ประมาณ 85 - 90 คน เกิดจากปัญหาที่ "หลัง" (หมอนรองกระดูกทับเส้น หรือ กระดูกสันหลังเสื่อมกดทับเส้นประสาท Radiculopathy)

  • ประมาณ 5 - 6 คน เท่านั้นที่เกิดจาก "กล้ามเนื้อสลักเพชร" (Piriformis Syndrome)

  • ส่วนที่เหลือ เกิดจากสาเหตุอื่นๆ (เช่น เนื้องอก, การติดเชื้อ, หรือโรคข้อสะโพก)

โรคที่ 1: หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท (The Real Sciatica)

อันนี้คือ "ของจริง" ครับ เกิดจากความเสื่อมของหมอนรองกระดูก หรือกระดูกสันหลังที่เอว

  • จุดกำเนิด: ปวดที่ "หลังส่วนล่าง" (เอว) เป็นหลัก แล้วร้าวลงขา
  • ท่าที่แพ้ทาง: "ก้มตัว" (เช่น ก้มใส่กางเกง ก้มหยิบของ) หรือ "ไอ/จาม" แล้วสะเทือนร้าวลงขา
  • ท่านอน: มักจะชอบนอนหงายชันเข่า หรือนอนตะแคงงอตัว อาการจะดีขึ้น
  • การยกขา: ถ้านอนหงายแล้วให้คนอื่นยกขาข้างที่ปวดขึ้นตรงๆ (Straight Leg Raise) จะยกได้ไม่สูง จะปวดร้าวลงขาทันที เพราะเส้นประสาทที่หลังถูกดึงรั้ง

โรคที่ 2: สลักเพชรจม (Piriformis Syndrome)

อันนี้คือ "ตัวปลอม" หรือ "โรคเลียนแบบ" ครับ เกิดจากกล้ามเนื้อก้นชั้นลึก (Piriformis) มันตึง เกร็ง หรืออักเสบ จนไปบีบรัดเส้นประสาทที่วิ่งผ่านมัน

  • จุดกำเนิด: ปวดลึกๆ ที่ "แก้มก้น" (Buttock pain) เหมือนมีจุดกดเจ็บอยู่ข้างใน กดแล้วจี๊ด
  • ท่าที่แพ้ทาง: "นั่งนานๆ" (โดยเฉพาะเก้าอี้แข็งๆ หรือพื้น), "นั่งไขว่ห้าง", "ขับรถนาน", หรือในผู้ชายที่ชอบ "ใส่กระเป๋าสตางค์หนาๆ ไว้กระเป๋าหลัง" แล้วนั่งทับ (Wallet Neuritis)
  • การเดิน: บางคนบอกว่า "เดินแล้วสบายกว่านั่ง" (ต่างจากกระดูกทับเส้นที่เดินแล้วปวด)
  • ท่าตรวจ: ลองนั่งไขว่ห้างเป็นเลข 4 (เอาข้อเท้าข้างที่เจ็บวางบนเข่าอีกข้าง) แล้วก้มตัวลง... จะปวดตึงที่ก้นลึกๆ แทบขาดใจ!

สรุปความแตกต่างให้เห็นภาพชัดเจน

เพื่อให้จำง่ายขึ้น หมอขอสรุปแยกเป็น 2 กลุ่มอาการ ดังนี้ครับ:

กลุ่ม A: กระดูกทับเส้น (Herniated Disc)

  • จุดเริ่มปวด: เริ่มที่ "หลังเอว"
  • อาการไอ/จาม: สะเทือน "เจ็บร้าวลงขา"
  • การนั่ง: นั่งพื้นแข็งหรือนั่งนานๆ จะปวดเมื่อยหลัง
  • การเดิน: เดินไกลๆ มักจะปวดมากขึ้น หรือขาอ่อนแรง
  • สาเหตุหลัก: ยกของหนัก, ก้มผิดท่า

กลุ่ม B: สลักเพชรจม (Piriformis Syndrome)

  • จุดเริ่มปวด: เริ่มที่ "แก้มก้นลึกๆ"
  • อาการไอ/จาม: "ไม่เจ็บ"
  • การนั่ง: นั่งพื้นแข็งหรือนั่งนานๆ จะ "ปวดก้น/ขาชา" ทรมานมาก
  • การเดิน: เดินแล้วอาการอาจจะ "ดีขึ้น" (เพราะกล้ามเนื้อก้นได้ขยับคลายตัว)
  • สาเหตุหลัก: นั่งนาน, วิ่งเยอะ, นั่งไขว่ห้าง

ต้องตรวจอะไรเพิ่มไหม?

เพื่อให้ชัวร์ หมอแนะนำ:

  1. เอกซเรย์ (X-ray): ดูโครงสร้างกระดูกสันหลัง
  2. MRI: อันนี้คือ "ตาสวรรค์" ครับ แยกได้เ
    • ถ้าเห็นหมอนรองกระดูกปลิ้นกดเส้น = โรคที่ 1
    • ถ้าหลังปกติ แต่กล้ามเนื้อก้นดูบวมๆ = โรคที่ 2

แนวทางการรักษา (คนละทางเลย)

  • ถ้าเป็น "กระดูกทับเส้น": เน้นลดการกดทับที่หลัง เช่น ดึงหลัง (Traction), ปรับท่านอน, เลี่ยงการก้มยกของ, ฉีดยาโพรงประสาท หรือผ่าตัด (ถ้าจำเป็น)
  • ถ้าเป็น "สลักเพชรจม": เน้นคลายกล้ามเนื้อก้น!
    1. ยืดเหยียด (Stretching): ท่าเลข 4 (Figure 4 Stretch) คือยาขนานเอก
    2. นวด/กดจุด: ใช้ลูกเทนนิสคลึงที่แก้มก้น หรือนวดตอกเส้น (แต่ต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ ไม่งั้นระบม)
    3. Shockwave: ยิงคลื่นกระแทกใส่กล้ามเนื้อก้นที่เกร็ง ให้คลายตัว
    4. ปรับพฤติกรรม: เลิกนั่งไขว่ห้าง, เอาเป๋าตังค์ออกจากกระเป๋าหลัง, หาเบาะรองนั่งนุ่มๆ

บทส่งท้ายจากใจหมอ

เห็นไหมครับว่า "อาการเหมือนกัน แต่จำเลยคนละคน" ถ้าคุณเป็นแค่ "สลักเพชรจม" แต่ไปรักษาแบบผ่าตัดกระดูกสันหลัง... นอกจากจะเจ็บตัวฟรีแล้ว อาการปวดก้นก็จะไม่หายด้วยครับ

ลองเช็คตัวเองดูเบื้องต้น ลองยืดกล้ามเนื้อก้นดู ถ้าอาการดีขึ้น คุณอาจจะโชคดีที่เป็นแค่โรคกล้ามเนื้อครับ แต่ถ้าไม่แน่ใจ แวะมาให้หมอตรวจเช็คดีกว่าครับ วินิจฉัยถูก... รักษาแป๊บเดียวก็หายครับ

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng

#สลักเพชรจม #PiriformisSyndrome #กระดูกทับเส้น #ปวดก้นร้าวลงขา #Sciatica #หมอเก่งกระดูกและข้อ #DoctorKeng

อายุ 57 ปวดหลังร้าวลงขา... ผล MRI บอก "กระดูกเสื่อมหลายระดับ" ต้องกังวลแค่ไหน?

 


อายุ 57 ปวดหลังร้าวลงขา... ผล MRI บอก "กระดูกเสื่อมหลายระดับ" ต้องกังวลแค่ไหน?

"หมอครับ ผล MRI ออกมาแล้วครับ... เขาเขียนว่ากระดูกสันหลังเสื่อมหลายข้อเลย แถมมีกดทับเส้นประสาททั้งซ้ายทั้งขวา ฟังดูน่ากลัวมาก ผมจะเป็นอัมพาตไหมครับ? ต้องผ่าตัดด่วนเลยหรือเปล่า?"

นี่คือความกังวลของคนไข้ชายวัย 57 ปี ท่านหนึ่งที่เพิ่งเดินถือผลตรวจเข้ามาปรึกษาหมอด้วยสีหน้าไม่สู้ดีครับ อาการหลักๆ คือ "ปวดหลัง แล้วมีอาการชาร้าวลงไปที่ขาขวา" เดินไกลไม่ได้ ต้องหยุดพัก

พอเปิดดูผล MRI ก็พบร

  • กระดูกสันหลังเสื่อมหลายระดับ (Multilevel degeneration)
  • หมอนรองกระดูกเสื่อม (Disc degeneration)
  • โพรงกระดูกตีบแคบ (Spinal stenosis) ที่ระดับ L4/5 และ L5/S1

ฟังดูเหมือนหลังพังทั้งแถบใช่ไหมครับ? แต่หมออยากบอกข่าวดีว่า... "อย่าเพิ่งตกใจกับภาษาแพทย์ครับ" เพราะเคสนี้ จริงๆ แล้วคือ "ความเสื่อมตามธรรมชาติ" ที่เราจัดการกับมันได้ครับ

อาการ "ปวดร้าวลงขาขวา"

ในเคสของคุณพี่ท่านนี้ แม้ผลจะบอกว่าเสื่อมหลายที่ แต่ "จำเลยตัวจริง" ที่ทำให้ปวดขาขวาจนเดินลำบาก คือที่ระดับ L4/5 ครับ

  • เกิดอะไรขึ้น? ตรงข้อต่อกระดูกสันหลังระดับเอวข้อที่ 4 และ 5 (L4/5) มีความเสื่อมเกิดขึ้น ทำให้ช่องทางเดินเส้นประสาทมันแคบลง (Stenosis)
  • ผลกระทบ: มันไปเบียดบัง "เส้นประสาทขาข้างขวา" (Right L4 nerve) ครับ
  • อาการ: เมื่อเส้นประสาท L4 โดนกด อาการปวดหรือชาจะวิ่งจากหลังล่าง อ้อมมาทางสะโพก ลงมาที่หน้าขา หรือหน้าแข้งด้านใน ทำให้เรารู้สึกเหมือนไฟช็อตหรือเป็นตะคริวเวลาเดิน

แล้วระดับ L5/S1 ที่เสื่อมด้วยล่ะ?

ในผล MRI ของคุณพี่ ยังเจอว่าที่ระดับล่างลงไปอีกข้อ (L5/S1) ก็มีการกดทับเส้นประสาทเหมือนกัน แต่เป็น "ด้านซ้าย"

  • ทำไมตอนนี้ยังไม่ปวดซ้าย? อาจเป็นเพราะการกดทับยังไม่รุนแรงมาก หรือร่างกายยังพอทนไหวครับ
  • ต้องทำยังไง? ถือเป็น "สัญญาณเตือน" ครับ ว่าในอนาคตถ้าเรายังใช้งานหนัก ขาซ้ายอาจจะเริ่มประท้วงได้เหมือนกัน ดังนั้นการดูแลรักษาตอนนี้ จะช่วยป้องกันข้างซ้ายไปในตัวครับ

"เสื่อม" ไม่ได้แปลว่า "ร้าย"

สิ่งที่หมออยากเน้นย้ำให้สบายใจที่สุดในเคสนี้คือลักษณะของโรคโดยรวมครับ:

  1. เป็นความเสื่อมตามวัย (Age-related change): เหมือนผิวที่มีริ้วรอย ผมที่เริ่มหงอก กระดูกสันหลังคนวัย 57 ก็ย่อมมีความสึกหรอเป็นธรรมดาครับ ไม่ใช่เรื่องผิดปกติ
  2. ไม่ใช่โรคร้ายแรง (No Red Flags): ในฟิล์ม ไม่พบ กระดูกหัก (Fracture) และ ไม่พบ ก้อนเนื้อหรือมะเร็ง (Tumor) ใดๆ
  3. โครงสร้างผิดรูปเล็กน้อย: อาจจะมีกระดูกคดหรือเอียงนิดหน่อย ซึ่งเป็นเรื่องปกติที่เจอได้ และไม่ได้น่ากลัวครับ

แนวทางการรักษา: จำเป็นต้องผ่าตัดไหม?

เมื่อรู้ว่าไม่ใช่โรคร้าย และเป็นแค่ความเสื่อม... การผ่าตัดจึง "ไม่ใช่ทางเลือกแรก" เสมอไปครับ

Step 1: รักษาแบบประคับประคอง (90% ของคนไข้ดีขึ้นได้)

  • ยา: กินยาลดการอักเสบของเส้นประสาท และยาแก้ปวด
  • กายภาพบำบัด (สำคัญมาก):
    • บริหารกล้ามเนื้อ: เสริมสร้างกล้ามเนื้อหลัง (Core muscle) ให้แข็งแรง เพื่อช่วยพยุงกระดูกสันหลังที่เสื่อม
  • ปรับพฤติกรรม: หลีกเลี่ยงการยกของหนัก การก้มเงยบ่อยๆ หรือนั่งนานเกินไป

Step 2: การฉีดยา (ถ้ากินยาแล้วไม่หาย)

  • ฉีดยาสเตียรอยด์เข้าโพรงประสาท (Epidural Steroid Injection) เพื่อลดบวมที่เส้นประสาทโดยตรง (เหมือนเอาน้ำดับไฟที่ต้นตอ) ช่วยให้หายปวดและกลับไปทำกายภาพได้ดีขึ้น

Step 3: ผ่าตัด (ทางเลือกสุดท้าย)

  • จะพิจารณาก็ต่อเมื่อ: รักษาเต็มที่แล้ว 3-6 เดือนไม่ดีขึ้น, กล้ามเนื้อขาเริ่มอ่อนแรง, หรือมีปัญหาการขับถ่าย

บทส่สรุป

ผล MRI ที่ยาวเหยียด อาจดูน่าตกใจ แต่ถ้าเราอ่านให้ลึกถึงรายละเอียด เราจะพบว่ามันคือ "บันทึกการใช้งานร่างกาย" ของเราครับ

สำหรับเคสนี้ ให้การรักษาที่ถูกต้อง และการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อาการปวดร้าวลงขาจะดีขึ้นได้ และคุณพี่จะสามารถใช้ชีวิตในวัย 57 ได้อย่างมีความสุข โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเนื้อร้ายครับ

ดูแลหลังให้ดีตั้งแต่วันนี้ เพื่อให้มันอยู่ประคองเราไปอีกนานๆ ครับ

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng

#กระดูกสันหลังเสื่อม #ปวดหลังร้าวลงขา #หมอนรองกระดูกทับเส้น #MRIกระดูกสันหลัง #โพรงประสาทตีบ #หมอเก่งกระดูกและข้อ #DoctorKeng

ปวดหลัง "ฉีดยาบล็อกหลัง" ทางออกของคนกลัวผ่าตัด... เจ็บไหม? ช่วยได้จริงหรือ?

 



ปวดหลัง "ฉีดยาบล็อกหลัง" ทางออกของคนกลัวผ่าตัด... เจ็บไหม? ช่วยได้จริงหรือ?

"หมอครับ... เพื่อนผมบอกว่าไปฉีดยาเข้ากระดูกสันหลังมาแล้วหายปวดเป็นปลิดทิ้ง ไม่ต้องผ่าตัดเลย มันจริงไหมครับ? แล้วมันน่ากลัวไหมครับหมอ?"

คำถามนี้หมอได้ยินบ่อยพอๆ กับคำถามเรื่องผ่าตัดเลยครับ

สำหรับคนที่มีอาการปวดหลังร้าวลงขา หรือเป็นโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ที่กินยาแก้ปวดจนแสบท้อง กายภาพจนท้อแล้วอาการยังทรงๆ ทรุดๆ ครั้นจะให้ผ่าตัดก็กลัวเข็ม กลัวมีด กลัวเดินไม่ได้

"การฉีดยาเข้าโพรงประสาท" หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า "การบล็อกหลัง" (Epidural Steroid Injection) จึงกลายเป็นความหวังใหม่ของใครหลายคนครับ

วันนี้หมอเก่งจะมาไขข้อข้องใจให้หมดเปลือก ว่าวิธีนี้มันคืออะไร เจ็บเหมือนที่เขาขู่ไหม และมันช่วยรักษาโรคได้จริงหรือเปล่า?

เรื่องเล่าจากห้องตรวจ: คุณครูวิภา กับความกลัวเข็ม

คุณครูวิภา (นามสมมติ) อายุ 52 ปี เป็นหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ปวดหลังร้าวลงขาซ้ายจนเดินสอนหนังสือแทบไม่ไหว คุณครูรักษากินยามา 2 เดือน อาการดีขึ้นบ้างแต่ไม่หายขาด พอหมอพูดเรื่อง "ฉีดยาเข้าโพรงประสาท" หน้าคุณครูซีดเผือดเลยครับ

"ฉีดเข้าไขสันหลังเลยเหรอคะหมอ! จะเป็นอัมพาตไหม? เจ็บมากไหมคะ?"

นี่คือความเข้าใจผิดที่น่ากลัวที่สุดครับ คนส่วนใหญ่คิดว่าเราจะเอาเข็มแทงเข้าไปใน "ไขสันหลัง" (Spinal Cord) ซึ่งอันตรายมาก แต่ความจริงแล้ว... เราไม่ได้ทำแบบนั้นครับ

หลังจากหมออธิบายและทำหัตถการไป (ใช้เวลาแค่ 15 นาที) คุณครูเดินออกมาจากห้องด้วยรอยยิ้ม แล้วบอกว่า "รู้งี้ฉีดตั้งนานแล้วค่ะหมอ เจ็บน้อยกว่าถอนฟันอีก"

การ "บล็อกหลัง" คืออะไรกันแน่? (ไม่ใช่การบล็อกหลังผ่าตัดคลอดนะครับ)

ต้องแยกให้ออกก่อนนะครับ การบล็อกหลังแก้ปวด (ESI) ไม่ใช่ การบล็อกหลังเพื่อผ่าตัดคลอดลูก หรือผ่าตัดขาที่ทำให้ชาไปครึ่งตัวนะครับ คนละเรื่องกันเลย

หลักการง่ายๆ คือ: เวลาที่หมอนรองกระดูกมันปลิ้น หรือกระดูกมันเสื่อมไปทับเส้นประสาท เส้นประสาทตรงนั้นจะเกิดการ "อักเสบ บวม แดง" เหมือนไฟที่กำลังไหม้ ทำให้เราปวดร้าวลงขา

การกินยา อาจจะเหมือนการเอาน้ำสาดจากระยะไกล กว่าจะถึงจุดไฟไหม้ น้ำก็ระเหยไปเยอะ

แต่ การฉีดยาเข้าโพรงประสาท เปรียบเสมือน "การเอาสายยางไปฉีดน้ำดับไฟที่ต้นตอ" ครับ หมอจะฉีดยาลดการอักเสบ (สเตียรอยด์) + ยาชา เข้าไปที่บริเวณรอบๆ เส้นประสาทที่ถูกกดทับโดยตรง เพื่อให้ยุบบวมเร็วที่สุด

เจ็บไหม? น่ากลัวหรือเปล่า?

หมอขอตอบตามตรงแบบลูกผู้ชายเลยว่า "เจ็บนิดเดียวครับ" (ประมาณมดกัดตอนฉีดยาชา)

ขั้นตอนการทำ ไม่ได้ทำในห้องตรวจธรรมดา แต่ทำในห้องสะอาดปลอดเชื้อ และที่สำคัญคือ "ต้องใช้ ultrasound  ช่วยนำทาง" เสมอครับ

  1. นอนคว่ำ: คนไข้นอนคว่ำบนเตียง สบายๆ
  2. ฉีดยาชา: หมอจะฉีดยาชาที่ผิวหนังบริเวณหลัง (เจ็บจี๊ดเดียวตรงนี้แหละครับ)
  3. นำทางด้วย ultrasound : หมอจะค่อยๆ สอดเข็มเล็กๆ เข้าไป เพื่อให้ปลายเข็มไปหยุดอยู่ที่ "ช่องว่างเหนือเส้นประสาท" (Epidural Space) อย่างแม่นยำ โดยไม่โดนตัวเส้นประสาท
  4. เดินยา: เมื่อมั่นใจตำแหน่งแล้ว หมอจะเดินยาเข้าไป คนไข้อาจจะรู้สึกตึงๆ หรือวูบๆ ลงขาบ้างเล็กน้อย แปลว่ายาเดินทางไปถูกที่แล้วครับ

ช่วยได้จริงไหม? หายขาดหรือเปล่า?

นี่คือคำถามสำคัญครับ หมอขอแบ่งเป็น 3 กลุ่มผลลัพธ์:

  1. กลุ่มหายขาด (Curative): มักพบในกลุ่มที่เป็น "หมอนรองกระดูกทับเส้นแบบเฉียบพลัน" (เพิ่งเป็นไม่นาน) เมื่อเราฉีดยาเข้าไปลดบวม เส้นประสาทหายอักเสบ ร่างกายจะค่อยๆ ดูดซึมหมอนรองกระดูกส่วนที่ปลิ้นออกมาได้เองตามธรรมชาติ กลุ่มนี้ฉีดเข็มเดียวจบ กลับไปใช้ชีวิตปกติได้เลย
  2. กลุ่มบรรเทาอาการ (Palliative): ในกลุ่มที่เป็น "กระดูกสันหลังเสื่อมเรื้อรัง" (เป็นมานาน กระดูกงอกเยอะ) การฉีดยาไม่สามารถเอากระดูกงอกออกไปได้ครับ แต่ช่วยลดการอักเสบ ทำให้หายปวดได้นาน 3-6 เดือน หรือเป็นปี เพื่อให้กลับไปทำกายภาพบำบัดได้สะดวกขึ้น ไม่ต้องกินยาแก้ปวดทุกวัน
  3. กลุ่มที่ไม่ได้ผล: มีส่วนน้อยครับที่ฉีดแล้วไม่ดีขึ้น ซึ่งอาจแปลว่าการกดทับนั้นรุนแรงมากจริงๆ จนต้องพิจารณาการผ่าตัด

ข้อดี vs ข้อเสีย

ข้อดี:

  • ไม่ต้องดมยาสลบ ไม่ต้องนอนโรงพยาบาล (ทำเสร็จนั่งพัก 1 ชั่วโมง กลับบ้านได้)
  • ตรงจุดแม่นยำกว่าการกินยา
  • ช่วยยืนยันการวินิจฉัย (ถ้าฉีดแล้วหายปวด แสดงว่าเป็นที่เส้นประสาทเส้นนี้แน่นอน)
  • ช่วย "ซื้อเวลา" สำหรับคนที่ยังไม่พร้อมผ่าตัด

ข้อควรระวัง:

  • ห้ามทำในคนที่มีการติดเชื้อ

บทสรุปจากหมอเก่ง

การฉีดยาเข้าโพรงประสาท เป็น "ทางเลือกสายกลาง" ที่ดีมากครับ สำหรับคนที่การกินยาเอาไม่อยู่ แต่ยังไม่อยากผ่าตัด

มันไม่ใช่ยาวิเศษที่เสกโรคให้หายวับไปกับตาในทุกคน แต่มันคือเครื่องมือที่ช่วย "ดับไฟ" ในหลังของคุณ ให้คุณได้กลับมาตั้งหลัก เริ่มต้นทำกายภาพ และดูแลตัวเองได้โดยไม่มีความปวดมาทรมาน

ถ้าคุณกำลังลังเล หรือกลัว... ลองเข้ามาปรึกษาหมอดูก่อนครับ บางที "เข็มเล็กๆ" เข็มนี้ อาจจะช่วยให้คุณกลับมาเดินตัวปลิวได้อีกครั้ง โดยไม่ต้องเจอ "มีด" ก็ได้ครับ

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng

#ฉีดยาบล็อกหลัง #ฉีดยาเข้าโพรงประสาท #ปวดหลังร้าวลงขา #หมอนรองกระดูกทับเส้น #ไม่ต้องผ่าตัด #หมอเก่งกระดูกและข้อ #DoctorKeng

ตื่นมาแล้วปวดหลัง... เป็นเพราะ "ที่นอน" ไม่ดี หรือ "กระดูก" เราพังกันแน่?

 



ตื่นมาแล้วปวดหลัง... เป็นเพราะ "ที่นอน" ไม่ดี หรือ "กระดูก" เราพังกันแน่?

เคยเป็นไหมครับ? เสียงนาฬิกาปลุกดังตอนเช้า ใจอยากจะลุกไปทำงานให้สดชื่น แต่ร่างกายกลับประท้วง!

ความรู้สึกแรกที่ลืมตาตื่น คือความปวดตึงที่แผ่นหลัง เหมือนมีหินก้อนใหญ่มาทับ หรือเหมือนร่างกายยังไม่ได้พักผ่อน ทั้งที่นอนมาเต็มอิ่ม 7-8 ชั่วโมง บางคนต้องค่อยๆ บิดขี้เกียจอยู่นานกว่าจะขยับตัวลุกจากเตียงได้

หลายคนรีบโทษ "ที่นอน" ทันที... "สงสัยที่นอนยุบแล้ว" "สงสัยที่นอนแข็งไป" ว่าแล้วก็เตรียมกำเงินก้อนโตไปถอยที่นอนใหม่ราคาหลักหมื่น

ช้าก่อนครับ! ก่อนจะเสียเงินฟรี หมออยากให้ลองอ่านเรื่องนี้ดู เพราะบางที... จำเลยอาจไม่ใช่ที่นอนก็ได้ครับ

เรื่องเล่าจากห้องตรวจ: เตียงดูดวิญญาณของคุณวิชัย

เมื่อเดือนก่อน คุณวิชัย (นามสมมติ) หนุ่มออฟฟิศวัย 45 ปี เดินกุมเอวเข้ามาปรึกษาหมอ ด้วยสีหน้าหงุดหงิด

"หมอครับ ผมเพิ่งกัดฟันซื้อที่นอนยางพาราอย่างดีเกือบ 5 หมื่นบาท นึกว่าจะหลับสบาย ที่ไหนได้... ตื่นมาปวดหลังหนักกว่าเดิมอีกครับ ผมโดนหลอกขายของหรือเปล่าเนี่ย?"

พอหมอซักประวัติและตรวจร่างกายละเอียด ถึงบางอ้อเลยครับ ปัญหาของคุณวิชัยไม่ใช่ที่นอนคุณภาพแย่ แต่เป็นเพราะ "กล้ามเนื้อหลังอักเสบเรื้อรัง" จากการนั่งทำงานผิดท่าสะสมมานาน พอไปนอนที่นอนยางพาราที่ค่อนข้างแน่น กล้ามเนื้อที่ตึงอยู่แล้วเลยเกิดแรงกดทับ ไม่ได้ผ่อนคลาย ตื่นมาเลยระบม

เคสนี้แก้ที่ "คน" ครับ พอรักษาอาการอักเสบหาย กลับไปนอนที่นอนเดิม ก็หลับสบายฝันดีเหมือนเดิม

ความจริงที่หมออยากบอก

อาการ "ตื่นนอนแล้วปวดหลัง" (Morning Stiffness/Pain) มักเกิดจาก 2 ปัจจัยหลักที่ทำงานร่วมกันครับ คือ "สภาพร่างกาย" และ "อุปกรณ์การนอน"

ถ้าเราโทษแต่ที่นอน เราอาจจะแก้ปัญหาไม่จบครับ หมอเก่งขอแยกแยะให้ดูง่ายๆ ว่าแบบไหนคือสัญญาณบอกเหตุจากอะไร

เช็คลิสต์: อาการแบบนี้... สาเหตุมาจากไหน?

1. สัญญาณเตือนจาก "ที่นอน" (หรือท่านอน)

  • ปวดเฉพาะตอนตื่น: ตื่นมาปวดมาก แต่พอลุกเดินไปอาบน้ำ แต่งตัว ขยับร่างกายสักพัก อาการปวดหายไปเป็นปลิดทิ้ง
  • นอนที่อื่นแล้วไม่ปวด: พอไปนอนโรงแรม หรือไปนอนบ้านเพื่อน กลับหลับสบายไม่ปวดหลังเลย
  • ที่นอนเป็นแอ่ง: สังเกตดูว่าตรงกลางที่นอนยุบเป็นหลุมกระทะ หรือนอนแล้วตัวจมลงไปจนพลิกตัวยากไหม (อันนี้ที่นอนนุ่ม/ยุบเกินไป)
  • ตื่นมาแล้วชา: รู้สึกชาตามแขนหรือขา เพราะที่นอนแข็งเกินไปจนกดทับจุดไหลเวียนเลือด

2. สัญญาณเตือนจาก "ร่างกาย" (กระดูก/กล้ามเนื้อ)

  • ปวดตลอดวัน: ตื่นมาก็ปวด ระหว่างวันก็นั่งนานๆ ก็ปวด ก้มยกของก็จี๊ด
  • ปวดร้าว: มีอาการปวดร้าวลงสะโพก หรือลงขา ร่วมด้วย
  • ขยับแล้วเจ็บ: พลิกตัวบนเตียงก็เจ็บ สะดุ้งตื่นกลางดึกเพราะความปวด
  • ฝืดตึงนาน: ตื่นมาแล้วตัวแข็งทื่อ ต้องใช้เวลานานกว่า 30 นาทีถึงจะเริ่มขยับได้คล่อง (สัญญาณของข้อเสื่อมหรือข้ออักเสบ)

เจาะลึกโรคที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่ม

ถ้าเช็คแล้วว่า "ที่นอนไม่ผิด" เราต้องกลับมาดูที่ร่างกายเราครับ ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ไหม

  1. กล้ามเนื้อหลังอักเสบเรื้อรัง (Myofascial Pain): เจอบ่อยที่สุดครับ เกิดจากการเกร็งกล้ามเนื้อมาทั้งวัน พอตอนนอนถ้าท่านอนไม่ดี กล้ามเนื้อไม่ได้พัก ก็จะตื่นมาพร้อมความเมื่อยล้า
  2. กระดูกสันหลังเสื่อม (Spondylosis): มักเจอในผู้สูงอายุ ข้อต่อกระดูกที่เสื่อมจะยึดติดกันขณะที่เราอยู่นิ่งๆ นานๆ (ตอนหลับ) ทำให้ตื่นมาแล้วรู้สึกหลังแข็ง ขยับยาก
  3. หมอนรองกระดูกทับเส้น: กลุ่มนี้มักจะปวดรุนแรงเวลานอน หรือพลิกตัวลำบาก บางคนนอนหงายไม่ได้เลย เพราะหมอนรองกระดูกมันปลิ้นไปกดทับเส้นประสาท

วิธีแก้ไขเบื้องต้น (ก่อนไปเสียเงินซื้อที่นอนใหม่)

หมออยากให้ลองปรับตามสูตรนี้ดูสัก 1-2 สัปดาห์ครับ

1. ปรับท่านอน (Sleep Posture)

  • คนชอบนอนหงาย: ให้หาหมอนข้างใบย่อมๆ หรือผ้าห่มม้วน มารองใต้เข่าครับ วิธีนี้จะช่วยลดความแอ่นของหลังล่าง ทำให้หลังแนบกับที่นอนได้ดีขึ้น ลดอาการปวดหลังได้ชะงัดนัก
  • คนชอบนอนตะแคง: ต้องมี "หมอนข้าง" ครับ! ให้กอดหมอนข้างและเอาขามาก่ายไว้ (ให้หมอนอยู่ระหว่างขา 2 ข้าง) เพื่อให้กระดูกสันหลังอยู่ในแนวตรง ไม่บิดเกลียว
  • คนชอบนอนคว่ำ: "เลิกเถอะครับ" ท่านอนคว่ำทำให้คอต้องบิดไปข้างหนึ่ง และหลังแอ่นมากที่สุด เป็นท่าที่ทำร้ายกระดูกสันหลังที่สุดครับ

2. ปรับที่นอนเดิม

  • ถ้าที่นอนนุ่ม/ยุบเกินไป: ลองหาไม้อัดมารองใต้ฟูก หรือถ้าเป็นฟูกสปริงเก่าๆ อาจจะต้องเปลี่ยนครับ เพราะมันไม่รองรับสรีระแล้ว
  • ถ้าที่นอนแข็งเกินไป: ซื้อ Topper (แผ่นรองนอน) ยางพาราหนาๆ สัก 2-3 นิ้ว มาวางทับ ก็ช่วยกระจายแรงกดทับได้ดีขึ้น โดยไม่ต้องซื้อเตียงใหม่ทั้งหลัง

3. บริหารก่อนและหลังนอน

  • ยืดเหยียด: ก่อนนอน ยืดกล้ามเนื้อหลังเบาๆ (เช่น ท่านอนกอดเข่าชิดอก) จะช่วยคลายกล้ามเนื้อที่เกร็งมาทั้งวัน ให้หลับสบายขึ้น

เมื่อไหร่ต้องมาหาหมอ?

ถ้าปรับท่านอนก็แล้ว เปลี่ยนหมอนก็แล้ว อาการปวดหลังตอนตื่นนอนยังตามรังควานไม่เลิก หรือมีอาการเหล่านี้ร่วมด้วย:

  • ปวดร้าวลงขา ชาขา หรือขาอ่อนแรง
  • มีไข้ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด
  • ปวดมากตอนกลางคืนจนตื่น (Night Pain)

รีบมาตรวจเถอะครับ หมออาจต้องเอกซเรย์ดูโครงสร้างกระดูก เพื่อดูว่ามีความเสื่อม หรือหมอนรองกระดูกมีปัญหาหรือไม่ การรักษาที่ตรงจุด จะช่วยให้คุณกลับมา "ตื่นแล้วสดชื่น" ได้อีกครั้ง

บทส่งท้ายจากใจหมอ

การนอนหลับ คือการชาร์จแบตเตอรี่ที่ดีที่สุดของมนุษย์ครับ อย่าปล่อยให้ความปวดหลังมาขโมยความสุขยามค่ำคืนของคุณไป

ลองสังเกตตัวเองคืนนี้เลยนะครับ ว่าเราปวดแบบไหน แล้วลองปรับท่านอนดู ไม่แน่ว่า... แค่หมอนข้างใบเดียว อาจจะช่วยให้คุณหายปวดหลัง โดยไม่ต้องพึ่งยาหมอเลยก็ได้ครับ

ขอให้ทุกท่านตื่นมาพร้อมรอยยิ้ม และหลังที่แข็งแรงในเช้าวันพรุ่งนี้ครับ

บทความนี้ให้ข้อมูลทั่วไป หากอาการไม่ดีขึ้นควรปรึกษาแพทย์

สามารถปรึกษาปัญหากระดูกและข้อ หรืออาการปวด ได้ที่ ผศ.นพ.ธนินนิตย์ ลีรพันธ์ (หมอเก่ง) ผู้เชี่ยวชาญโรคกระดูกและข้อ สอบถามปัญหาโรคกระดูกและข้อ ปวดหลัง ปวดคอ ปวดเข่า ปวดไหล่ กระดูกพรุน ได้ครับ 📱 Line ID: @doctorkeng

#ปวดหลัง #ตื่นนอนปวดหลัง #ที่นอนดูดวิญญาณ #หมอนรองกระดูก #ท่านอนแก้ปวดหลัง #หมอเก่งกระดูกและข้อ #DoctorKeng